พระอาจารย์
4/30 (540607D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
7 มิถุนายน 2554
(ช่วง 3)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 4/30 ช่วง 2
ก็ไม่แก้ไม่หนีมัน ตายเป็นตาย
นรกกูก็จะลง ...อยากคิดคิดไปดิ อยากปรุงฟุ้งซ่านเรื่องอะไร เอาดิ ปรุง ดูซิ
ใครจะแน่กว่ากัน อย่างมากก็แค่ตาย ...ดูมันไป รู้มันไป รู้อย่างเดียว
เราก็เดินไปเดินมาอยู่ตรงนั้นน่ะ
เราไม่แก้อารมณ์เลย ไม่เคยหนีอารมณ์ด้วย แล้วก็ไม่คิดจะไปยุ่งอะไรกับอารมณ์ด้วย
ก็ต่างคนต่างอยู่ เหมือนกับคนละมิติกัน คนละโลกกัน
เราก็รู้ไป ดูกาย เดินไปเดินมา
นั่งก็นั่งอยู่เฉยๆ กระดิกตีนกระดิกมือไป มันจะมีความคิดก็มี ไม่มีก็ไม่มี ไม่สน
ไม่ใช่เรื่องของเรา ...เรื่องของเราคือเรานั่งอยู่ เราก็รู้ว่าเรานั่ง
ก็รู้ว่านั่งเฉยๆ
มันจะมีอะไร ...มันจะมีเมฆ มันจะมีหมอก
มันจะมืด มันจะแจ้ง มันจะสว่าง มันจะมีฟ้าแลบฟ้าร้อง แดดออกฝนตกอยู่ภายใน ...เฮอะ
ไม่เกี่ยวกัน
กล้าจริงก็รู้ตัวไป อยู่กับตัวอยู่กับกาย
นี่ล่ะ ลองดู แล้วจะรู้ว่า...การปฏิบัติที่เราเคยตั้งค่าของการปฏิบัติเอาไว้ว่าผลลัพธ์คืออะไร จะเข้าใจเองว่าไอ้ที่ตั้งค่าไว้น่ะผิดหมดเลย...ด้วยความเห็นความเชื่อนี่ ผิดหมดเลย
เมื่อมันเห็นว่าอย่างนั้นแล้วนี่
มันจะลบความเห็นของตัวเองทิ้ง เกิดอาการที่เรียกว่า delete ตัวเอง format ตัวเองเลย...ลบ เหลือเป็นดิสก์เปล่าๆ ไม่ว่า external , internal
ก็เป็นดิสก์เปล่าหมด ไม่มีอะไรข้างใน
ไร้สาระสิ้นดี ...ไม่ใช่ข้างนอกไร้สาระ ข้างในก็ไร้สาระ ไม่มีอะไรเป็นสาระ พอที่จะไปแตะไปจับ ไปอาศัย ไปอิงไปแอบ ไปแนบ ไปคลอเคลีย ไปอยู่ไปยืน ไปนอนไปกินกับมัน
จึงเรียกว่าบริสุทธิ์หมดจด เหมือนบัวพ้นน้ำ เนี่ย...กว่าจะขึ้นจากตมได้ แทบตาย บอกให้เลย
ไร้สาระสิ้นดี ...ไม่ใช่ข้างนอกไร้สาระ ข้างในก็ไร้สาระ ไม่มีอะไรเป็นสาระ พอที่จะไปแตะไปจับ ไปอาศัย ไปอิงไปแอบ ไปแนบ ไปคลอเคลีย ไปอยู่ไปยืน ไปนอนไปกินกับมัน
จึงเรียกว่าบริสุทธิ์หมดจด เหมือนบัวพ้นน้ำ เนี่ย...กว่าจะขึ้นจากตมได้ แทบตาย บอกให้เลย
แต่ว่ามันมีเหง้า เข้าใจมั้ย
บัวมันมีเหง้า ...ถึงมันตายมันก็มีเหง้า งอกใหม่ นี่ อย่าท้อ มันก็ไล่ขึ้นมาจากสี่เหล่านั่นแหละ
แล้วก็ขึ้นมาเรื่อยๆ ...ในหนึ่งคนนั่นแหละ มันมีสี่เหล่า
อย่าไปบอกว่าตัวเราอยู่ในประเภทไหน เหมือนกันหมด...ไอ้เหง้าบัว ก็แล้วแต่ว่ามันจะประคบประคองไอ้เหง้าบัวนี้ จนมันออกพ้นน้ำได้เมื่อไหร่แค่นั้นเอง
อย่าไปบอกว่าตัวเราอยู่ในประเภทไหน เหมือนกันหมด...ไอ้เหง้าบัว ก็แล้วแต่ว่ามันจะประคบประคองไอ้เหง้าบัวนี้ จนมันออกพ้นน้ำได้เมื่อไหร่แค่นั้นเอง
เพราะเดี๋ยวมันก็ลงไปเป็นเหง้าบัว ...แล้วธรรมชาติของเหง้าบัวมันก็ต้องแตกหน่อขึ้นมาอยู่ร่ำไป
แต่ด้วยความที่ว่าไม่ดูแลด้วยศีลสมาธิปัญญาในองค์แห่งมรรค
เต่าปลาฉลามร้ายก็มาฉกกินไป ไม่ได้โผล่ยอดขึ้นมา ...พอมันฉกเข้าบ่อยๆ ก็ท้อ เนี่ย
เขาเรียกว่าไม่มีความเพียร
รู้แล้วก็หลงๆ ...เฮ้อ รู้อีกก็หายอีกแล้ว เมื่อกี้ยังอยู่ดีเลย หายอีกแล้วๆ เสียอกเสียใจ เฮ้อ หาวิธีใหม่ดีกว่า
แน่ะ ...ไม่เอา หลงอีก-รู้อีกๆ ดูไป อย่าเบื่อ อย่าคิดว่าทำไม่ได้
ถ้าทำไม่ได้
พระพุทธเจ้าไม่มาสอนคนหรอก เพราะท่านเห็นว่าคนน่ะสอนง่ายที่สุดแล้ว มนุสฺสปฏิลาโภ
การเกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ ไม่ใช่เป็นได้ง่ายๆ
และนี่เป็นที่ที่ธรรมทั้งปวง ทั้งสี่เหล่านี่ ทั้งสี่ภูมิอริยธรรมทั้งหมด...จะงอกงามได้ง่ายที่สุดในมนุสส …เพราะนั้นอย่าประเมินตัวเองต่ำ
ถ้าตั้งใจจริง ไม่ขี้เกียจ ไม่ท้อถอย ...เจริญสติ รู้กายอย่างเดียว รู้ตัวอย่างเดียว รู้เข้าไป ใครจะว่าโง่
ใครจะว่าไม่ได้อะไร ใครจะว่าไม่มีปัญญา เสียงนกเสียงกาอย่าไปฟัง
รู้เข้าไว้ อย่าให้ลืมรู้
อย่าให้รู้หาย อย่าให้รู้ขาด ...เอาให้มันเหมือนกับเป็นกาวตราช้างอยู่กับใจนั่นแหละ เป็นกายใจคู่กันตลอดเวลา
แล้วไม่ต้องสงสัย
ไม่มีปัญหาอะไรกับใคร แล้วใครก็ไม่มีปัญหากับเรา ...ถึงมันจะมีเราก็ไม่มี เพราะหา “เรา”
ไม่มี มีแต่ “รู้” ไม่มี “เรา” ...รู้จน “เรา” ไม่ปรากฏเลยน่ะ เอาดิ
แล้วจะเข้าใจเองว่า...การละสักกาย
ไม่มีวิธีการละ ไม่มีวิธีอุบายใดเลย มันละเข้าไปในตัวของมันเอง บอกให้เลย ...นี่เป็นการทำที่โง่ที่สุด แต่ชื่อเรียกว่าปัญญาวิมุติ
เห็นมั้ย
ชื่อกับการกระทำนี่คนละเรื่องกันเลย โง่อย่างเดียว ไม่เอาความรู้ใดมาเลย ...มันจะเอ๊อะ
มันจะแอ๊ะ ออกมาว่าอะไร ...ไม่เอา มีแต่ตัว ตัวเกลี้ยงๆ ตัวซื่อๆ น่ะ
ตัวก้อนๆ
ไม่รู้ก้อนอะไร กำลังทำอะไรก็ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร แต่เห็นอยู่น่ะว่ามันทำ
แต่ไม่รู้ทำอะไร ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ...จนมันไม่มีภาษาออกไปพูดน่ะ
นั่นน่ะเขาเรียกว่ามันจะลบบัญญัติสมมุติ
แล้วก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ...เพราะตามความเป็นจริงนี่
เขาไม่ได้เป็นอะไร
มองเห็นต้นไม้ไหม มันเงียบ
เขาบอกไหมเขาเป็นอะไร ...มีแต่เราน่ะจำเอา เขียว เหลือง สีน้ำตาล นั่นต้นนี่
นี่ต้นนั่น ...นี่ว่าเอาเอง ปากมากเอง จิตน่ะมันปากมาก
ถ้าดูเฉยๆ ดูด้วยความสงบนะ
ทุกอย่างเป็นปรมัตถ์ เป็นความจริงตามความเป็นจริง ...เห็นมั้ย
มีความรู้อะไรมั้ยในนั้น ต้องไปรู้อะไรมั้ยในนั้น ต้องไปบอกมั้ยว่ามันคืออะไรในนั้น ...นั่นน่ะตามความเป็นจริง
กายนี่ก็ไม่ได้ต่างกับต้นไม้ที่มันยืนอยู่นี่ ...มันเรียกเอาเองว่ากาย มันเรียกเอาเองว่าชาย มันเรียกเอาเองว่าหญิง
มันเรียกเอาเองว่าต้นโศก ต้นไทร ต้นสาละ ...นี่ว่ากัน ก็เรียกกันว่าชื่อนั่นชื่อนี่
ดูไปสิ มันเงียบ
ไม่เคยบอกว่าเขาคือใครเลย กูคือใคร ไม่เคยบอก มีแต่มึงอ่ะมาว่ากูเป็นนั่นเป็นนี่
ด้วยความไม่รู้ ....แต่มันคิดว่าใครบอกว่าไม่รู้จักต้นนี้มันบอกโง่
เห็นมั้ย ไอ้ใครที่รู้มาก รู้ไปหมดทั้งป่านี่ หูย นี่รู้ธรรมเห็นธรรมๆๆ ...เราบอกไอ้บ้าธรรม มันบ้าธรรม บ้าสังขารธรรม
เห็นมั้ย ไอ้ใครที่รู้มาก รู้ไปหมดทั้งป่านี่ หูย นี่รู้ธรรมเห็นธรรมๆๆ ...เราบอกไอ้บ้าธรรม มันบ้าธรรม บ้าสังขารธรรม
เพราะนั้นรู้จริงน่ะเงียบ
ไม่มีปากไม่มีเสียงเลย นิ่งอยู่ภายในนั้น รู้อยู่ภายใน ก็เห็นความเป็นจริง ...มันจะซาบซึ้งอยู่กับความไม่มีไม่เป็นในความหมาย
นั่นแหละ มันเข้าไปเห็นกายเป็นอนัตตา
เห็นกาย ในส่วนที่ไม่มีตัวตน เห็นกายในส่วนที่ไม่มีโดยสมมุติบัญญัติ
เห็นกายในส่วนที่มันเป็นแค่อาการถูกปรุงแต่งโดยเหตุปัจจัย ไม่ได้ตั้งด้วยใคร
เพื่อใคร
ไปถามสิ ต้นไม้มันเกิดเพื่อใคร
มันตั้งอยู่เพื่อประโยชน์อะไร ทำไมมันต้องตั้งอยู่ ตั้งอยู่ทำไม ใช่รึเปล่า ...ถ้ามันมีปาก มันก็บอกว่ามันตั้งอยู่โดยความเป็นไตรลักษณ์ มีอะไรมั้ย
ถ้าเห็นตามความเป็นจริงของกาย...ก็อันเดียวกันหมด ...นี่ หากันแทบตาย ตัวเองไม่เห็น ...อยู่ตรงนี้ อยู่ต่อหน้านี่
สิงสู่อยู่กับมันนี่ตั้งแต่เกิด ไม่เคยแยบคายดูเลย
มรรคมีไม่เดิน ชอบเดินทางมักมาก
กับมักน้อย มรรคาไม่เดิน ครรลองแห่งมรรคมีอยู่ตรงนี้ ..พอเริ่มเดินสักนิดนึง ก็เอาแล้ว เดี๋ยวมันจะเริ่มหาใหม่แล้ว
เห็นมั้ย
เดี๋ยวมันจะเริ่มไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ...เป็นธรรมดา ให้ทัน อยู่อย่างนี้ ...คำสอนครูบาอาจารย์เก็บไว้บนหิ้ง ปิดปังเอาเข้าเซฟไว้ก่อน ตอนนี้อาจารย์ไม่เกี่ยว
อาจารย์อย่าเพิ่งมาเกี่ยว
จะเอาแค่ตรงนี้ จะรู้แค่ตรงนี้
อาจารย์ก็บูชาไว้ในเซฟก่อนนะ ตอนนี้ไม่เอา จะทำความแจ้งในกายก่อน จะทำความแจ้งกายในปัจจุบัน ...เพราะกายมันมีตัวเดียว ไม่เอากายตัวอื่น
เมื่อมีกายตัวเดียว กายคนอื่นก็ไม่มี นี่...เอาจนกายเหลือแต่กายเงียบที่สุด จนใจเงียบไปพร้อมกับกาย
เหลือแค่รู้กับกาย ...เห็นกาย จนรู้...แต่ไม่รู้ว่ากายๆ ไม่เห็นว่าเป็นกาย
นั่นแหละ ถึงจะเข้าใจ หากายไม่เจอแล้ว ...ก็เห็นอยู่ตำตา ก็รู้อยู่ แต่หากายไม่เจอ เจอแต่อะไรก็ไม่รู้ อะไรก็งั้นๆ น่ะ ใครจะว่ากายก็ว่าไป
ใครจะว่าชายก็ว่าไป
ใครจะว่าหญิงก็ว่าไป ใครจะว่าสวยก็ว่าไป ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป
เห็นอยู่เต็มตาเต็มใจว่าอะไรก็ไม่รู้ นั่นแหละ ...ไว้ค่อยมาส่งการบ้านแล้วกัน
(หัวเราะ)
โยม – โอ้โฮ อีกนาน
พระอาจารย์ – ถ้าคิดน่ะนาน บอกแล้วไง ถ้าคิดเมื่อไหร่..นาน ...พอทันปุ๊บ ดับเลย ว่านานช้า เวลาขาดทันที เวลาขาดทันทีเลยนะ ถ้าอยู่ตรงนี้ปั๊บนี่
ไม่มีอดีตอนาคตเลย
อดีตก็คือ นาน เร็ว อนาคตมาแล้ว
จิตมันเคลื่อนออกไปข้างหน้าปั๊บ นานนนน ช้า นานนน ...แต่ถ้าอยู่ตรงนี้ ช้าไม่มี
เร็วไม่มี ลองดู ...แต่ละคนทำไป กำลังใครตามกำลัง...เต็มกำลัง
รู้กายรู้ใจแค่นี้แหละ ..ไม่ลัด
ไม่สั้น แต่ตรง รู้ตรงๆ ...เราบอกว่าตรง เราไม่ได้บอกว่าตรงกับคนอื่น
แต่ว่ามันตรง..ตรงที่ไม่ต้องไปหาตรงไหน ไม่ต้องไปรู้ที่อื่น
ไม่ต้องไปมีว่า ต้องพุทโธก่อนมั้ย สงบก่อนมั้ย
ต้องอยู่คนเดียวก่อนมั้ย ต้องนุ่งขาวห่มขาวอยู่วัดก่อนมั้ย ต้องออกจากงานมั้ย
ต้องไม่มีผัวมั้ย ต้องไม่มีลูกก่อนมั้ย
เห็นไหม มันจะไม่มีเงื่อนไขนะ ...รู้ตรงๆ
ที่กาย เพราะมันตรงไหนก็มีกาย จนกว่าจะตายไป
โยม – รู้สึกว่าก็เอาชนะตัวเองได้...พอสมควร
พระอาจารย์ – อือ ถ้าเราไม่ตามมัน ก็ชนะหมดแหละ
โยม – มันก็หักตัวเอง
พระอาจารย์ – อยู่แบบผู้แพ้ แพ้หมดโลกน่ะแหละ
ไม่มีทางจะมาชนะโลกได้ ...เพราะโลกเขาเป็นไปอย่างนี้ เราตายแล้ว
โลกเขาก็ยังเป็นไปอย่างนี้
กิเลสก็เป็นเรื่องของโลก
ก็มีอยู่คู่โลกอย่างนี้ จะไปเอาสาระแก่นสารอะไรกับมัน ...เพราะนั้นแพ้หมดแหละ
ใจก็ยอมแพ้ กลับมาอยู่ที่อันควรอยู่...อยู่แค่รู้
ไม่ออกนอกรู้ ไม่ไปมาหาเหตุ
นั่นแหละ ยอม ยอมรับ ยอมก็คือยอมรับ...ในทุกสิ่งที่ปรากฏ ...เราไม่เรียกว่าดี-ร้าย ถูก-ผิด
แต่เราเรียกว่าทุกสิ่งที่ปรากฏ ก็คือสิ่งหนึ่งที่ปรากฏ
ถ้ามองเห็นเป็นแค่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏนี่
ก็ไม่มีปัญหาหรอก ...แต่ถ้ามองว่าอันนั้นอันนี้ เช่นนั้นเช่นนี้ อย่างนั้นอย่างนี้
เรื่องนั้นเรื่องนี้ เดี๋ยวมีปัญหา
ถ้ามองเป็นแค่สิ่งหนึ่ง อาการหนึ่ง
สภาวะหนึ่ง สภาพหนึ่ง มันมองเห็นอย่างนั้นน่ะ ...เมื่อดูไปเรื่อยๆ
อยู่กับเนื้อกับตัวไป ก็จะเห็นว่าเป็นแค่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น
เหมือนกับพระอัญญาโกณฑัญญะ
ที่ท่านพูดว่า...สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ...นี่ ท่านเห็นว่าเป็นแค่สิ่งหนึ่ง
รูปนามเป็นแค่สิ่งหนึ่ง
อาการของรูปนามก็เป็นแค่สิ่งหนึ่ง อารมณ์ของรูปนาม
เวทนาของรูปนามก็เป็นแค่สิ่งหนึ่ง ...ไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของสิ่งนั้น
ท่านมองข้ามบัญญัติ
ท่านมองข้ามสมมุติไป ท่านมองทะลุเข้าไปถึงแค่สิ่งหนึ่ง อาการหนึ่ง ...ถึงเรียกว่า
ยังกิญจิ สมุทยะธัมมัง สัพพันตัง... สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา
ท่านมองเห็นความจริงแค่นั้นเอง ...ไม่ได้ลึกซึ้ง
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรอย่างที่พวกเราพยายามที่จะให้เห็นกายเป็นอันนั้นกายเป็นอันนี้
แล้วถึงจะวางได้
แต่ถ้าเห็นกายตามความเป็นจริงล้วนๆ
ว่ามันไม่เป็นอะไร สวยก็ไม่ใช่ ศพก็ไม่ใช่ ดีก็ไม่ใช่ ไม่ดีก็ไม่ใช่ คุณก็ไม่ใช่
โทษก็ไม่ใช่ ...ก็เห็นอยู่เพียงแค่อาการหนึ่งเท่านั้น
แล้วจากนี้มันจึงจะเห็นเป็นอาการเดียวกัน
ทั้งโลก ทั้งจักรวาล ทั้งอนันตาจักรวาล ทั้งสามภพ นั่น ในอนันตาจักรวาล
มันยังมีอีกสองภพซ้อนอยู่ในอนันตาจักรวาล
ท่านก็เห็นเป็นเพียงแค่อาการหนึ่งเท่านั้นเอง
ไม่ได้ประหลาดมหัศจรรย์ดีร้ายถูกผิดอะไร ประเสริฐประณีตกว่า
ต่ำกว่า สูงกว่า เหนือกว่า เสมอกัน...ไม่มี ...ท่านเห็นมีแค่อาการหนึ่ง เท่านั้นเอง
เอาแล้ว วันนี้ฟังนานแล้ว เห็นมั้ย
ดูกายดูใจเราตอนนี้ แค่เราไม่ทำอะไรนี่ จิตมันสบายขึ้นแล้ว มันปล่อย
มันเกิดความวาง ...วางเพราะอะไร วางเพราะเข้าใจ สัมมาทิฏฐิเกิด
โยม – หนูว่าแล้ว มันกำลังมึนๆ มั่วๆ อยู่เหมือนกันน่ะค่ะ ได้ครูบาอาจารย์ช่วยแนะนำก็รู้สึกว่าเป็นประโยชน์มาก ...กราบขอบพระคุณค่ะ
พระอาจารย์ – แต่มันต้องทำด้วยภาวนามยปัญญาไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวมันก็จะหายไปอาการพวกนี้ ...ทำด้วยตัวเองแล้วก็จะค่อยเข้าใจ
ด้วยการรู้ชัดเห็นชัดในปัจจุบัน
เมื่อใดที่เรากลับมารู้ชัดเห็นชัดในปัจจุบัน
ทุกอย่างมันแจ่มแจ้งขึ้นมาเอง โล่ง โปร่ง เบาสบาย อิสระ
..................................