พระอาจารย์
4/24 (540601F)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 มิถุนายน 2554
โยม – หลวงพ่อให้เน้นในการดูกายใช่มั้ยคะ แต่ทีนี้ถ้าเดินๆ
ไปแล้วมันเหมือนลอยๆ มันไม่ชัดน่ะฮ่ะ จะต้องเน้นยังไงฮะ
พระอาจารย์ – กลับมารู้กายเลย เอารู้กายให้ชัด
โยม – มันมองแล้วมันไม่ทะลุ เหมือนคล้ายกับมันเด้งขึ้น
ประมาณนั้นน่ะฮ่ะ แล้วมันก็ลอยอยู่อย่างนั้น
พระอาจารย์ – อะไรลอย
โยม – ที่ไปรู้กายที่เดิน หรือว่าที่ทำอย่างนี้น่ะฮ่ะ
มันจะลอยๆ แล้วเหมือนมันเบาเกิน จนเหมือนแบบเรารู้สึกว่าไม่มีกาย
พระอาจารย์ – ก็ให้รู้ไป ให้รู้กายที่ไม่มีกายตามความเป็นจริงนั้น ...ไม่ต้องกลับมาดูกายหยาบ ไม่ต้องกลับมาดูเวทนาของกายหยาบ
ก็ไปดูส่วนที่ละเอียดของกายไป มันรู้ละเอียดกับกายก็รู้ไป ละเอียดไป
โยม – ก็รู้เท่าที่เห็น
พระอาจารย์ – ใช่ ...แต่ให้มีรู้อยู่
อยู่กับอะไรก็ได้ ...เพราะนั้นกายมันจะเปลี่ยนไปเรื่อย มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยนะ
จนถึงไม่เป็นกาย
แต่ไอ้ที่เราบอกตอนแรกที่ว่าอย่าไปลอยๆ ...คือหมายความว่าถ้าไปอยู่กับอารมณ์ลอยๆ น่ะ อย่าไปอยู่กับตรงนั้น ถ้าเป็นอารมณ์ลอยนะ
อย่าอยู่
ถ้ากายมันลอยหรือว่าเห็นกายไม่ชัดเจน
หรือว่าไม่ปรากฏเป็นกายชัดเจน...ก็ให้รู้ตรงนั้น รู้กับกายที่ไม่ชัดเจนนั้น
คือว่ามันจะเริ่มเห็นกายตามความเป็นจริงมากขึ้น นะ
เพราะกายตามความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างที่เราคิด
อย่างรูปที่เราเห็น ...กายที่อยู่ในความคิดเรานี่ มันเพราะรูปที่เราเห็น
เราจดจำรูปกายนี้ได้ พอเราหลับตาเห็นมั้ย รูปของกายนี่มี
เพราะนั้นไอ้ตัวนี้เป็นแค่นิมิต
เป็นภาพ ...เพราะนั้นกายมันจึงเป็นภาพนิมิต
เป็นรูปารมณ์หรือเป็นรูปนิมิตขึ้นมาเท่านั้นเอง
เพราะนั้นพอเริ่มรู้กายไปเรื่อยๆ ...ดูความรู้สึกปุ๊บ
มันจะเห็นรูปนิมิตของกายในความเห็นน่ะจางคลายลง ...นี่ มันจะเข้าไปลบสัญญาในรูป
โยม – ตอนนี้รู้สึกเหมือนมันไม่เป็นกลางน่ะค่ะ แล้วทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเห็นเท่านั้น แต่มันก็อยากจะเห็นชัด
พระอาจารย์ – ก็ให้ทันตรงยินดี-ยินร้าย
ตรงเจตนา ...แล้วก็ให้ละเจตนา ให้เป็นกลาง
ให้ทันเจตนาที่จะเข้าไปทำอะไรกับความรู้กับสิ่งที่รู้ ...ยินดี-ยินร้ายนั่นแหละ ...ละซะ
เอาจนหากายไม่เจออ่ะ เอาจนมันลืมกายไปเลยน่ะ
เห็นเป็นแค่อะไรก็ไม่รู้ เห็นเป็นแค่ผัสสะหนึ่ง เห็นกายเป็นแค่กายเวทนา
กายวิญญาณแค่นั้นเอง ไม่เห็นรูปกาย ความรู้สึกเป็นกาย
โยม – พอเห็นตรงนั้นแล้วยังไงต่อคะ
พระอาจารย์ – มันก็ดำเนินของมันไปเองน่ะ มันก็เอาส่วนของนามต่อ ความคิด ความเห็น ความปรุง
อะไรชัดตรงนั้นรู้ตรงนั้น ไม่ต้องกลับมาสู่หยาบ
กายหาย หาย...ช่างหัวมัน มีอะไรอยู่ตรงนั้น รู้ตรงนั้น ปรากฏเป็นนามใดนามหนึ่งขึ้นมาก็รู้ตรงนั้น รู้กับนาม ...ขอให้มีรู้อยู่ตลอด ส่วนสิ่งที่เป็นรูปหรือนามมันจะปรากฏเป็นรูปก็ได้นามก็ได้
เพราะนั้นกายนี่เป็นอุบายแค่นั้นเอง ...ขอให้มันแจ้งก่อน พอแจ้งปุ๊บนี่มันขาด เดี๋ยวมันขาด เดี๋ยวมันทะลุไปเอง
จับกายไม่เจอแล้ว
มันจะทิ้งกาย ...ทิ้งความหมายในกาย
ละความเห็นที่มันเป็นกายออกไป มันก็จะหายไปเลย เดินไปก็ไม่รู้ว่าเดินแล้ว
ไม่มีใครเดินแล้ว ไม่มีคนไหนเดินแล้ว
ตอนนั้นน่ะมันจะเข้ามาแยบคายในอาการของนามกับรู้...รู้กับนาม รู้กับอารมณ์ รู้กับเวทนา รู้กับสัญญา รู้กับอดีตอนาคต ...มันมาชัดเจนกับตรงนั้น
ทำความแยบคายกับตรงนั้นตามลำดับไป
แต่พอเริ่มลอย เริ่มเผลอ เริ่มจมไปกับอาการ...ต้องฟื้นคืนสติกับกาย ...เพราะมันยังไม่ขาดเสียทีเดียว มันยังมีสิทธิ์ไหลเลื่อน
เพราะว่าปัญญายังไม่เท่าทันอาการของนาม
มันยังมีสิทธิ์ที่จะไหลไปกับนามนั้น ...ยังไงก็ยึดกายเป็นที่ตั้งที่ฐานคือวิหารธรรม
จับกายเวทนา จับกายผัสสะมาเป็นอารมณ์ในปัจจุบัน
พอสติมันตั้งมั่นได้ด้วยตัวของมัน รักษากายรักษาใจได้ด้วยตัวของมันเอง คราวนี้ไม่ต้องไปสนใจในสิ่งที่ถูกรู้เลย อะไรก็ได้ รู้ในสิ่งที่ปรากฏนั้น
แล้วอย่าไปแตะต้องมัน ให้มันเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน
เพราะนั้นภาวะของใจที่มันมี...อาสวะอนุสัยนี่มันจะลอยออกมา
เหมือนกับโซดาน่ะ แต่ว่าถ้าศีลสมาธิปัญญายังไม่เพียงพอ ก็เหมือนโซดาปิดขวด
เคยเห็นโซดาปิดขวดไว้มั้ย มันไม่มีฟอง เหมือนน้ำเลย นี่ อย่าให้เปิดฝานะ เปิดฝาล่ะ...ฟู่ ...ซึ่งไอ้ของพวกเรามันเป็นโซดาที่ปิดขวดแล้วยังเขย่าอีกน่ะ (หัวเราะ) ...มันก็เลยระเบิด
แต่ถ้าเปิดด้วยศีลสมาธิปัญญา เปิดฝาแล้วมันก็ฟูฟ่องตามธรรมชาติของโซดา ...จนกว่ามันจะหมดกำลังของอากาศที่เจือปนในน้ำ
นั่นแหละ ธรรมชาติของกิเลส...กับธรรมชาติของใจ ...มันคนละธรรมชาติกัน
มันอยู่ร่วมกันไม่ได้ มันไม่ใช่เนื้อเดียวกัน
เพราะนั้นพระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ใจนี่...ทำให้บริสุทธิ์ไม่ได้ แล้วก็ใจนี่ทำให้ไม่บริสุทธิ์ก็ไม่ได้ ใครทำน่ะผิด
ใครเข้าไปรักษาทำใจให้บริสุทธิ์น่ะผิด เพราะทำไม่ได้
ใจบริสุทธิ์อยู่แล้ว
แล้วก็ใจไม่เคยเศร้าหมอง ธรรมชาติของใจ ...ไอ้ที่เศร้าหมองก็คือกิเลส ไอ้ที่เศร้าหมองคืออาสวะ
นั่นแหละคือสิ่งที่มันมาปิดบังใจ มาปนเปื้อนอยู่กับใจ
เพราะนั้นศีลสมาธิปัญญาก็คือความสมดุลและเป็นกลาง ...เหมือนกับเปิดฝาโซดา เปิดขวดโซดา ก็คือด้วยความเป็นกลาง มันก็จะ...ทุกอย่างก็จะเป็นไปโดยธรรมชาติ...แสดงความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของทุกสิ่งออกมา
ธรรมชาติของกิเลสก็ผุดโผล่ออกมาด้วยความไม่มีตัวไม่มีตน เกิดๆ ดับๆ ...อาสวะทั้งหลายก็ฟูฟ่องล่องลอย เผยอ กระจัดกระจาย แตกตัวออกมา เคลื่อนไหวออกมา แสดงตัวที่มันซ่อนเร้นอยู่ภายในออกมา
ด้วยความเป็นกลาง...ก็รู้เท่าทันอาการนั้น ...แล้วก็ชำระออกโดยการไม่เก็บกลับมา ด้วยความกลัวบ้าง ด้วยโมหะ วิตกจริต ด้วยราคะวิตก
ด้วยกามวิตก ด้วยโมหะวิตก ด้วยพยาบาทวิตก
ไม่ต้องไปฟุ้งซ่าน ไม่ต้องไปอุทธัจจะกุกกุจจะ
ไม่ต้องไปหาเหตุหาผลอะไรกับมัน ...คือปล่อยให้มันเกิดเองดับเองเลย เกิดเองดับเองๆๆ
ของมันไป ...อย่าเบื่อ อย่าท้อ อย่าหน่าย อย่าเซ็ง อย่ารำคาญ
เอาจนมันหมดสภาวะความปรุงแต่ง
มันหมด ...หมดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ก็เหลือแต่ใจ ...โซดาก็กลายเป็นน้ำ เขย่าๆ
ก็คือน้ำ ...มันไม่มีฟองแล้ว
แต่คราวนี้ถ้าศีลสมาธิปัญญาไม่พอ ก็กลับไปปิดฝาอีก
ก็กลับไปปิดดวงใจดวงนี้ ...ฟองมันก็ไม่ไปไหน มันก็ตกคลั่กอยู่ในนี้ ต่อให้เขย่าๆ
ขนาดไหน มันก็อยู่ในนั้นแหละฟอง ...ก็หมักหมม
ศีลสมาธิปัญญาก็ทำความสมดุลกลมกลืน เป็นกลางกับทุกสิ่ง
แล้วก็ยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไข ...แล้วก็อาการทุกอย่างก็จะกระเจิดกระเจิงออกมา
โดยธรรมชาติที่มันไม่ใช่เป็นธรรมชาติของใจ...ก็จะออกมาจากใจ ...ลอยออกมาเองไม่มีใครทำเลย มันเป็นธรรมชาติที่มันแสดงตัวของมันเอง...ด้วยความไม่รู้มันก็จะผุดโผล่ขึ้นมา
สร้างความเห็นนั้น สร้างความคิด สร้างความปรุงนั้นขึ้นมา สร้างความอยากอันนั้น สร้างความไม่อยากอันนี้ขึ้นมา ...นี่คือภาวการณ์ปรุงแต่งขึ้นมา เรียกว่าอวิชชาก็ปัจจยาเป็นสังขารา
สังขารานั้น...ถ้ารู้ทันก็ดับไป ถ้ารู้ทันแล้วก็ไม่กลับมาเป็นอารมณ์
ถ้ารู้ทันก็ไม่ต่อเนื่อง ...ถ้าไม่รู้เมื่อไหร่ สังขารานั้นก็ปัจจยาเป็นมโนสังขาร
กายสังขาร วจีสังขาร ต่อไป
เมื่อสังขารเกิด วจีสังขารเกิด
มโนสังขารเกิดปุ๊บ ...มันก็จะเกิดเป็นเวทนา เกิดเป็นผัสสะ มีการกระทบ มีการกระทำ
มีการกระแทก มีการเคลื่อน ...มีการเกิดขึ้น ๆ ของผัสสะ
เมื่อมีการเกิดขึ้นของผัสสะก็เกิดอายตนะ
ไปกระทบกับอายตนะใดอายตนะหนึ่ง มันก็เกิดเป็นเวทนาขึ้น แล้วสืบเนื่องกันมาเช่นนั้น...ถ้าไม่รู้นะ เวทนาเกิดปุ๊บเลย
เอาแล้ว
เริ่มคัดกรองใหม่แล้ว เริ่มเลือกแล้วว่าถูกว่าชอบ ว่าไม่ถูกว่าไม่ชอบ ว่าถูกก็รัก
ว่าไม่ถูกก็เกลียด มันก็เริ่มเกิดยินดียินร้าย ...เป็นเวทนาเป็นตัณหาขึ้นมา
ก็เกิดอุปาทานขึ้นมา ยินดี-ยินร้าย
ยินดี-ยินร้าย ...มีอุปาทาน ปุ๊บ มันก็เข้าไปเสวย ...เข้าไปเสวยด้วยการกระทำ...เป็นชาติเป็นภพขึ้นมา
ก็เลยสุดท้าย...ก็เป็นทุกข์หรือเป็นสุข
ก็เป็นทุกข์แล้วก็เป็นสุข...แล้วก็เป็นทุกข์แล้วก็เป็นสุข อยู่อย่างนั้นแหละ ...นี่ก็เรียกว่าเป็นการสร้างปัจจยาการแห่งการเกิดไม่รู้จักจบสิ้น
แต่เมื่อไหร่เท่าทันด้วยสติสัมปชัญญะ มันก็จะรู้เห็น ปุ๊บนี่
ก็จะไม่ต่อ...ไม่ต่อไปกับปัจจยาการที่จะก่อให้เกิดไม่รู้จักจบ ...มันก็ดับ
รู้ตรงไหนมันก็ดับตรงนั้น
รู้ตรงไหนก็ตรงนั้น ...รู้ทันความคิดก็ดับตรงความคิด
รู้ทันตอนทุกข์มันก็ดับตรงทุกข์อุปาทาน
รู้ทันตอนที่การจะกระทำอะไรหรือไม่กระทำอะไร...มันก็ดับตรงเจตนา
รู้ตรงไหน...ปัจจยาการหลังจากนั้นก็จะดับโดยปริยาย ...แล้วมีแต่รู้ทันขึ้น ๆ รู้เร็วขึ้น ๆ
เห็นบ่อยๆ ...จนถึงขณะแรกของการเกิด
เพราะนั้น กามคือเกิด เกิดก็คือกาม...เป็นที่เดียวกัน เมื่อมีการเกิดนั่นกาม ...ละการเกิดได้...ก็คือละกาม ...เพราะนั้นกามนี่ไม่ได้หมายความว่ากามราคะ กามหมายถึงการเกิด...ในที่นี้ของปัญญาคือการเกิดขึ้น
จะไปเกิดกับอะไรล่ะ จะไปเกิดกับตา
จะไปเกิดกับเสียง จะไปเกิดกับกลิ่น จะไปเกิดกับรส จะไปเกิดกับอารมณ์ จะไปเกิดกับความเห็น ...นั่นคือการเกิด เป็นกาม อย่างนั้นเป็นการเกิด
พอเราเท่าทันการเกิดขึ้น ...การจะเข้าไปหมุนวนในวัฏสงสาร ในวัฏโลก
ในวัฏจักรของปัจจยาการแห่งการเกิดดับ มันก็หยุด มันก็ดับ
มันก็ขาดจากการเกิดในขณะนั้นแล้ว
โลกนั้น วัฏจักรนั้น วัฏสงสารนั้น
ก็ดับลงในปัจจุบันธรรมนั้น ในปัจจุบันจิตนั้น ในปัจจุบันขณะนั้น ...การเข้าไปละเลิกเพิกถอนจากวัฏสงสารก็คือละโลกน้อยๆ
แต่ละขณะๆๆ ไป
โยม – หลวงพ่อคะ
แล้วทีนี้ถ้าสมมุติมันเบาเกิน จนเราหลงไปทุกครั้งอย่างนี้ฮ่ะ
ก็เท่ากับว่าตรงนั้นจะเป็นที่หลงของเรา
พระอาจารย์ – ใช่ ...กลับมายืนอยู่กับกาย
ต้องหาอะไรเป็นหลัก...ในสี่ฐานน่ะ
เพราะนั้นเรายังไงก็ยืนยันให้กลับมาอยู่กับกาย
หรือไม่ลมหายใจก็ได้ ไม่กายหยาบก็ลมหายใจเพราะเป็นกายหนึ่ง
ก็อยู่ตรงนั้นแล้วก็ให้รู้อยู่กับลม ให้รู้อยู่กับกายเคลื่อนไหว ...อะไรก็ได้ให้มันมีรู้ปรากฏขึ้น
โยม – รู้กลับมาอีกที
ก็เริ่มจากตรงนั้นอีกที ...ไอ้ที่แล้วก็แล้วไป
พระอาจารย์ – อือ แล้วไป ...นับหนึ่งใหม่ ตั้งใหม่ ทวนใหม่ ...เขาเรียกว่าทำการอนุโลมปฏิโลม หยาบกับละเอียด...ละเอียดกับหยาบไปอย่างนี้
เอาจนมันไม่หายน่ะ ไม่หายไปกับเนียน ไม่หายไปกับประณีต ...มันก็ต้องกลับมานับหนึ่งใหม่ ปฏิโลมใหม่ อนุโลมใหม่ เอากับหยาบใหม่
อย่าเบื่อในการถอยเข้าถอยออก เริ่มต้นใหม่ ก่อร่างสร้างใหม่ สร้างสติขึ้นให้แน่น
สมาธิให้แน่น ...สติสมาธิปัญญาก็จะแนบแน่นขึ้นมา ตั้งมั่นด้วยตัวของมันเอง ...จนมันตั้งมั่นด้วยลำแข้งของมันเองน่ะ
ถ้ามันตั้งมั่นด้วยลำแข้งของตัวเอง หมายความว่าไม่ว่าอะไรก็รู้ได้ ไม่ว่าอะไร รู้หมดน่ะ ...จะเนียนขนาดไหนมันก็รู้ของมัน
เงียบขนาดไหนก็รู้
มันไม่สามารถมาจูงเราไป เหมือนกับที่เขาจูงควายไปเชือดน่ะ ด้วยสายสะพาย ...นี่ ก็แปลว่าใจมันรักษาใจ สติสมาธิปัญญามันเข้าไปรักษาใจได้ ใจก็ไม่หายไปไหน
แต่ถ้าหาย...เริ่มใหม่ จะเอาฐานไหนเป็นที่ก่อร่างสร้างสติขึ้น
ก่อร่างสร้างสมาธิปัญญาขึ้นก็ได้ ...แต่เราเน้นเอากาย
เพราะกายเขามีให้เลือกทั้งกายหยาบ กายละเอียด ...ลมหายใจก็ได้ การเคลื่อนไหวก็ได้
เป็นก้อน เย็นร้อนอ่อนแข็งก็ได้ หรือไม่ก็อายตนะก็ได้ เห็นก็รู้ว่าเห็น
ได้ยินก็รู้ว่าได้ยิน อย่างนี้ ...อะไรก็ได้ที่เป็นปัจจุบันขณะนั้น ให้รู้ลงไป
ให้รู้ปัจจุบันธรรมที่อยู่ตรงหน้า เอาทุกขสัจเป็นเครื่องวัดใจขึ้นมา
เพราะนั้นผัสสะมันมีอยู่แล้ว
ตาก็เห็นก็รู้ได้นี่ ถึงแม้จะเป็นระลึกขึ้นมาเป็นขณะๆ ก็ตาม ...เดี๋ยวมันจะก่อร่างสร้างฐานขึ้นมา ให้ใจดวงนี้มันเด่นชัดขึ้นมา
(ถามโยม) มีอะไรอีกมั้ย ...นี่อยู่อีกกี่วัน
โยม (อีกคน) – อยู่ห้าวันค่ะ
ก็คิดว่าคงจะเริ่มฝึกรู้จากรู้ฐานกายไปก่อนค่ะ
พระอาจารย์ – อือ ... รู้ตั้งแต่นี้เลย
...เห็นมั้ย ไหวรู้มั้ย ยิ้มรู้มั้ย ดูหน้า ...กลับมาอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ไปที่อื่น ...ไม่มาอยู่ที่เรา ไม่มาอยู่ที่เสียงเราด้วย
อยู่ที่ตัวเอง อยู่ที่ใจตัวเอง
ดูที่ใจตัวเอง ดูที่ความรู้สึกตัวเอง ...ขณะฟัง ...เฉยๆ ไม่เฉย กังวล ครุ่นคิด ...ดูตรงนั้นรู้ตรงนั้น
รู้ตรงความรู้สึกของตัวเอง
ถ้าไม่มีอะไร ก็รู้ตรงนี้...แข็งๆ อ่อนๆ นุ่มๆ เย็นๆ ยืดๆ
ตึงๆ ...อยู่ตรงนี้ อย่าขี้เกียจ อย่าเบื่อมัน อย่ารำคาญว่ามีแค่นี้เองเหรอ รู้แค่นี้เองเหรอ
เดี๋ยวมันจะเกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมาเป็นระลอกๆ
แล้วก็จะอยากหา อยากรู้อยากเห็นไปเรื่อย อยากทำอันใหม่ที่มันมีสีสัน
ได้เป็นน้ำเป็นเนื้ออะไรขึ้นมา...ไม่เอา
รู้อย่างนี้ รู้ธรรมดา รู้กับกายที่เป็นธรรมดา ... ผลของการที่รู้เป็นธรรมดาก็ไม่มีอะไร...ก็เป็นธรรมดา ทุกอย่างก็เป็นธรรมดา
แค่นั้นแหละ ธรรมดา ...รู้ให้ต่อเนื่องไป
..............................