วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 4/21 (1)


พระอาจารย์
4/21 (540601C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 มิถุนายน 2554
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ให้รู้เฉยๆ ด้วยความอดทน ...เพราะว่ามันจะบีบคั้น ภาวะพวกนี้...อารมณ์ ...อุปาทานนี่ มันจะสร้างความบีบคั้นให้เกิดมโนกรรม วจีกรรมและกายกรรม

เพราะนั้นพอมันบีบคั้น...ด้วยความไม่รู้ปุ๊บนี่ ...ด้วยอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่เป็นเวทนาบีบคั้นจิตเมื่อไหร่ปั๊บ มันจะสร้างเป็นสังขารา

คือปรุงออกมาเป็นความคิด สร้างว่าจะทำยังไงดีกับมัน จะทำยังงั้นยังงี้ ...มันก็จะพากายวาจาให้ถอยออก หนีออกจากอาการ หรือแก้อาการ เนี่ย

แต่ถ้ารู้ทันแล้วมันจะดับ ดับความคิดความปรุง อยู่แค่อารมณ์ที่ปรากฏ หรือเวทนาที่ปรากฏด้วยความไม่รู้ในปัจจุบัน ...แล้วก็จะเห็นว่าเดี๋ยวมันก็ดับ 

หรือมันไม่ดับก็ช่าง มันจะดับเมื่อไหร่ก็ช่าง ...แต่ให้รู้ไว้อย่างนี้ ด้วยความอดทนอยู่กับมัน...โดยไม่แก้ ไม่หนี ...ไม่ปรุง ไม่แก้ ไม่หาเหตุไม่หาผลอะไรกับมัน 

นี่ เขาเรียกว่ารู้เฉยๆ รู้โง่ๆ รู้ตรงๆ กับอาการที่ปรากฏตามความเป็นจริง

เพราะนั้นอะไรที่ปรากฏนี่ เราไม่เรียกว่ากิเลส เราไม่เรียกว่าถูก เราไม่เรียกว่าผิด ...แต่มันปรากฏจริง อย่างนี้ ถือว่าจริง

เราไม่ได้บอกว่าถูกเลยนะ เราไม่ได้บอกด้วยว่าผิดนะ ห้ามนะ ไม่ให้เกิด ไม่ได้นะ...ไม่ใช่ ...มันเกิดแล้วจะทำยังไง นี่ของจริง

เพราะนั้นว่า ปัญญาแปลว่าต้องรู้เห็นตามความเป็นจริงที่ปรากฏ แล้วก็เห็นไปถึงที่สุดว่า ความเป็นจริงนั้นคืออะไร จนถึงที่สุดของความเป็นจริงก็จะเห็นว่า...มันดับไปเป็นธรรมดา

เห็นมั้ย ไตรลักษณ์ ...จิตก็เข้าไปเห็นไตรลักษณ์ในอาการทั้งหลายทั้งปวงที่ปรากฏ ...ไม่ว่าอะไรเกิดมา...ไม่มีอะไรไม่ดับ 

แต่ "เรา" มันทนอยู่ไม่ได้...จนถึงกว่ามันจะดับไปเองน่ะ ...นี่ ตรงนี้ มันก็ส่ายแส่ 

พอไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ...มันก็แส่ไปหาอดีต-อนาคตที่มันจะสร้างอะไรมาลบล้างอารมณ์ปัจจุบัน เวทนาปัจจุบันที่มันไม่พอใจหรือพอใจ

เพราะนั้นการปฏิบัติก็จะวนเวียนอยู่แค่เนี้ย ...ทำไงถึงจะยอมรับความเป็นจริงในปัจจุบัน 

นิดๆ หน่อยๆ  เล็กๆ น้อยๆ นี่อย่ามองข้ามนะ ...ต้องสังเกต ให้แยบคายในทุกอาการที่ปรากฏ

เราไม่เคยบอกว่าถูก เราไม่เคยบอกว่าห้ามนะ ห้ามมีอารมณ์นะ ห้ามมีความรู้สึกอย่างนี้นะ...ไม่มีนะ ...มันปรากฏอย่างนี้ คือจริงหมด ...เพราะมันแสดงออกมาจากความเป็นจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ

ซึ่งอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ นั่นน่ะ คือสิ่งที่เราจะต้องเอาออก ...ไม่ใช่ปกปิด ปิดบัง หรือห้าม หรือว่ากลัว ไม่ให้มันแสดงธาตุแท้ของมันออกมา

เหมือนพวกเราภาวนาไปก็กลัวกิเลส...กลัวกิเลสมันจะผุดโผล่ กลัวกิเลสมันจะสำแดงฤทธิ์ กลัวกิเลสมันจะแสดงอำนาจบาตรใหญ่อะไรขึ้นมา ...ไม่กลัวนะ ปัญญาไม่กลัวอะไร

กลัวอย่างเดียว...กลัวมันไม่เห็นตามความเป็นจริง  กลัวอย่างเดียว...กลัวว่าการปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นการปกปิดความเป็นจริงของใจ ของสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ

มันก็เลยใส่หน้ากากหลอกกันไปหลอกกันมา สร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาหลอกคนอื่น...หลอกตัวเองก่อน แล้วก็หลอกคนอื่น 

เลยกลายเป็นว่า ถ้าสำเร็จก็เรียกว่าเป็นอรหันต์ดิบ ไม่ใช่อรหันต์สุก  ...ถ้ากินมะม่วงก็เรียกว่ามะม่วงที่บ่มแก๊สน่ะ ไม่ใช่สุกตามธรรมชาติ เข้าใจมั้ย มันคนละรสชาติกัน ...ไม่ใช่ของจริง

เพราะนั้นปัญญานี่กลัวไม่เห็นตามความเป็นจริงอย่างเดียว ...ไม่เคยปิดบัง ไม่เคยปกปิด  ...ไม่กลัวกิเลสเลย ไม่เป็นศัตรูกับกิเลสด้วย และไม่คิดด้วยว่ามันเป็นกิเลส


โยม –  มันเป็นธรรมชาติ  

พระอาจารย์ –  ธรรมชาตินึงที่ปรากฏ เป็นอาการหนึ่งที่ปรากฏ เป็นสภาวะหนึ่งที่ปรากฏ 


โยม –  ก็เหมือนทุกสิ่ง  

พระอาจารย์ –  เหมือนกันน่ะ เหมือนฝนตกแดดออกน่ะ

ถ้าจะพูดโดยภาษาก็ว่ากิเลสเกิดแล้วก็ได้ แล้วแต่เราจะเรียกโดยสมมุติและบัญญัติ ...แต่จริงๆ ก็คือสภาวธรรมหนึ่ง เป็นสภาวธรรมหนึ่ง เป็นลักษณะอาการหนึ่ง 

เพราะนั้น ...เห็นมั้ย ถ้าเปิดใจให้กว้างนะ มันจะเห็นว่าไม่ค่อยมีอะไรแตกต่างกันหรอก

ไม่ว่าเรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องโน้น หรืออาการอย่างนั้น อาการที่มันประหลาดมหัศจรรย์ หรืออาการที่มันดีเลิศวิจิตรอะไรก็ตาม ...มันก็คือลักษณะอาการหนึ่งเหมือนกัน

ถ้ามองแค่ลักษณะ มันเป็นแค่ลักษณะหนึ่งเหมือนกัน ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของไตรลักษณ์ หรือว่ากฎเหล็กของไตรลักษณ์ 

มันก็ไม่เห็นจะหนีออกจากไตรลักษณ์ตรงไหนได้เลย ไม่มีหลุดรอดพ้นจากไตรลักษณ์ได้ ...นี่ มันเห็นไตรลักษณ์จนยอมรับน่ะใจดวงนี้ จนไม่มีทางหนีน่ะ จนรู้เลยว่าไม่มีทางหนีออกจากไตรลักษณ์ได้เลย

กฎไตรลักษณ์นี่เป็นกฎเหล็กของธรรมชาติที่ควบคุมอยู่ภายใต้เงื่อนไขของไตรลักษณ์หมด ...ท่านถึงเรียกว่าเป็นสามัญลักษณะ เป็นลักษณะสามัญ เป็นลักษณะเหมือนยาสามัญประจำบ้าน

มันเป็นพื้นฐานเลยนะของธรรมชาติในสามโลกนี้ คือเป็นสามัญลักษณะ คือไตรลักษณ์ ...เกิด ตั้งอยู่ แปรปรวน แล้วดับไป ...เกิด ตั้งอยู่ แปรปรวน แล้วดับไป

มันจะช้า มันจะเร็ว มันจะสั้นแค่ขณะหนึ่ง อะไรก็ตาม มันก็คือไตรลักษณ์หมด ...ไม่เห็นมีอะไรนอกเหนือจากไตรลักษณ์เลย

เอาจนจิตมันเห็นอย่างเนี้ย จนไม่มีอะไรเล็ดลอดไปจากไตรลักษณ์ได้ ...จิตมันถอนออกหมดจากความเข้าไปหมายมั่นว่าเป็นภพ ว่าเป็นตัว ว่าเป็นตน ว่าเป็นของสิ่งนั้นสิ่งนี้ ว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่

มันก็จะหาความมีอยู่หรือความตั้งอยู่...ไม่มี  ความเป็นสัตว์เป็นบุคคลในสิ่งนั้นก็ไม่มี ก็เป็นแค่ลักษณะนึงที่เกิดขึ้นประเดี๋ยวประด๋าว ...เหมือนพลุที่จุดในอากาศแล้วก็ดับผั่บ

นี่ท่านมองเห็นอย่างนี้ มองเห็นรวม ...มันหาตัวตนที่แท้จริงไม่เจอหรอก มันเกิดมาแค่หลอกตา...เป็นนิมิต ปรากฏตรงนั้นแล้วก็ดับไป

เพราะนั้นรูปภาพ เสียงที่เราสัมผัสอยู่ตรงนี้ จริงๆ มันก็คือนิมิตหนึ่งเท่านั้นเอง ที่มารับรู้โดยใจ ด้วยวิญญาณเข้าไปสัมผัสรู้ ...มันก็วูบๆ วาบๆ ..วูบๆ วาบๆ ไป ก็แค่นั้นเอง ...เป็นนิมิต

แล้วมันก็ดับไป มันก็แค่นั้น ...มันก็เหลือแค่ผัสสะ...การรับรู้มันก็เหลือแค่ผัสสะตรงๆ กระทบกัน ...มีการกระทบ ใจเข้าไปกระทบกับผัสสะ...โดยผ่านกายนี่เป็นตัวเชื่อมตามอายตนะ

มันก็จะเรียนรู้อย่างนี้...ในลักษณะปัจจยาการของการเกิด-การดับ


โยม –  กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ค่ะ เดี๋ยวท่านอื่นจะได้ถาม โยมถามมากไปแล้ว

พระอาจารย์ –  ไม่หรอก มันปัญหาของคนปฏิบัติทุกคนแหละ    


โยม –  เหรอฮะ

พระอาจารย์ –  มันไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่งหรอก มันเป็นส่วนรวมแหละ ...การปฏิบัติก็อยู่ในแวดวงนี้แหละ อยู่ในขอบข่ายเนี้ย มันรวมหมดแหละ

เพราะนั้นไอ้คำตอบของเรานี่ มันตอบได้ทุกคนแหละ มันเป็นปัญหาเดียวกันหมดทุกคนแหละ ...สุดท้ายมันก็เรื่องเดียวกันหมด

เราบอกว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า...เป็นยาสามัญประจำบ้าน  กฎไตรลักษณ์...ก็คือกฎสามัญประจำโลก ใช่มั้ย


โยม –  ฮ่ะ

พระอาจารย์ –  มันก็คือยารักษาโรคเดียวกันหมดน่ะ นี่คือหลัก ...แต่ถ้ามีเฉพาะทาง ก็เป็นอีกเรื่องนึง อันนั้นก็ว่ากันไป

แต่โดยสามัญลักษณะกับศีลสมาธิปัญญาที่เป็นสัมมา...ก็แก้ได้หมด ...แก้โดยไม่แก้ แก้ด้วยการยอมรับ ...ด้วยการยอมรับในทุกสิ่งที่ปรากฏ

มันเป็นเช่นนั้นเอง มันตั้งอยู่อย่างนั้นเอง มันเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นเอง แล้วมันก็ดับไปอย่างนั้นเอง

ไม่ได้เกิดเพื่อใคร ไม่ได้ตั้งอยู่เพื่อใคร และก็ไม่ได้ดับเพื่อใคร

และก็ไม่มีใครไปทำให้เกิด ทำให้ตั้ง และก็ไม่มีใครทำให้มันดับไป  

นี่ ก็จะเห็นว่ามันเป็นอยู่เช่นนั้นเอง...ตามเหตุปัจจัยให้ควบรวมกันมาเป็นอาการนั้น อาการนี้  ลักษณะอาการอย่างนั้น ลักษณะอาการอย่างนี้

แล้วเมื่อหมดเหตุปัจจัยนั้น ...ลักษณะอาการอย่างนั้น ลักษณะอาการอย่างนี้ ก็จางคลาย หรือเพิ่ม หรือดับไปเป็นธรรมดา

มองไม่เห็นอันอื่นที่มาสอดแทรกในเหตุปัจจัยแห่งการเกิด การตั้ง และการดับในปัจจยาการทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าปัจจยาการของการเกิดหรือปัจจยาการของการดับ

มันอยู่ตามเหตุและปัจจัยล้วนๆ เป็นหลักของเหตุปัจจัยล้วนๆ ... เพราะสิ่งนี้เกิด..สิ่งนี้เกิด..สิ่งนี้เกิด  เพราะสิ่งนี้ดับ..สิ่งนี้ก็เลยดับๆๆๆ

ไม่ได้เพราะใครเลยนะ ไม่ได้เพราะอะไรหรือใครคนใดคนหนึ่ง หรือว่ามีความเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือความเป็นสัตว์ตนใดตนหนึ่ง เข้าไปล่วงล้ำก้ำเกินในปัจจยาการนี้ได้เลย

แต่ด้วยความไม่รู้นี่...มันเข้าใจว่ากูทำได้ เราทำได้ คนนั้นทำได้ คนนี้ทำได้ มีวิธีการอย่างนั้น มีวิธีการอย่างนี้ ที่จะให้มันเป็นอย่างนั้น ที่จะให้มันเป็นอย่างนี้

นี่มันเข้าไปเบียดเบียนความเป็นจริงหมดเลย


(ต่อแทร็ก 4/21  ช่วง 2)


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น