พระอาจารย์
4/18 (540531B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
31 พฤษภาคม 2554
(ช่วง 3)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 4/18 ช่วง 2
พระอาจารย์ – เพราะนั้นน่ะ สำคัญนะ
เราไม่อยากสอนให้ใครไปเดินอ้อมเดินค้อม ...แต่เราจะย้ำอยู่ที่เดียวว่าการปฏิบัติของเราไม่มี ไม่มีวิธีการปฏิบัติ มีแต่หลัก
ไม่ต้องให้บอกอุบายหรอก ...มันไปทำเอาเดี๋ยวมันก็รู้เองว่ามันใช้ยังไงแล้วมันอยู่น่ะ มันรู้เองน่ะ ค่อยๆ เรียนรู้เอา ...โง่นัก
ก็ทุกข์มาก ...ก็ให้ทุกข์มันสอน ให้ธรรมชาติมันสอน
เอาดิ จะนอนตายอยู่กับมันมั้ย
ตายอยู่กับความโง่ความหลงมั้ย ... มันก็หาทางรอด...ต่อให้ซากศพลอยมาก็คว้าจับ
เป็นที่พึ่ง อาศัยพยุงตัวไป ...เมื่อพยุงตัวว่ายน้ำเป็น ก็ต้องทิ้งซากศพแล้ว
แต่ถ้าได้ลองว่าครูบาอาจารย์บอกเมื่อไหร่แล้วล่ะก้อ...เดี๋ยวติด มันยึดเอาเป็นสรณะเลย มันยึดเอาเป็นมรรคเป็นผลเป็นวิธีการ ...เดี๋ยวจะติด
บอกให้
เพราะนั้นเราจะไม่ค่อยเน้นอุบาย แต่ว่าก็ไม่ได้ให้ทิ้งอุบาย
หรือว่าไม่ให้ทำอุบาย ...แต่พูดในฐานที่เข้าใจในทุกคนว่า จะให้มารู้ตรงๆ
อย่างที่เราพูดเนี่ย...ไม่มีทาง
มันก็ต้องมีเอ๊อะ มีอ๊ะ มีการเข้าไปด้วยอุบายใดอุบายหนึ่ง
ด้วยคำพูดใดคำพูดหนึ่ง ด้วยกลวิธีใดกลวิธีหนึ่ง ...แต่อย่าให้ออกนอกหลักนี้เท่านั้นน่ะ
เพราะนั้นเราจึงไม่ปฏิเสธอุบายเลยสักอุบายเดียว พอใจจะทำ...ทำอะไรก็ได้ให้มันอยู่กับปัจจุบันแค่นั้นแหละ
เราถึงบอกไง ...ต่อให้เอาตีนชี้ฟ้าเอาหัวทิ่มดินแล้วสติมันอยู่กับเนื้อกับตัว ทำไปเลยตลอดชีวิต...ดี
ไม่ผิดด้วย จะพิจารณาอะไรก็ได้...ไม่ผิด ขอให้มันเข้าใจหลักก่อน อยู่ในหลัก
ไม่ออกนอกหลัก ไม่ออกนอกมรรค
ไม่งั้นทำไปทำมามันจะไหลเลื่อนลอยออกไป ...ไปคว้าไปจับ
ไปบูชา ไปสำคัญอุบายเป็นหลักไปเลย ...แล้วมันก็เลยมองว่าไอ้หลักที่เราพูดนี่เป็นแค่อุบาย
เขาบอกว่าดูจิตง่ายยย ไม่เห็นต้องทำอะไร
ใครก็ทำได้ เขาพูดกัน...นี่ ไม่เห็นทำอะไร ไม่มีการกดข่มบังคับ ไม่มีกำลัง ไม่มีฐานอะไรสักอย่าง
เขาก็พูดกันอย่างนี้
มันเลยสำคัญว่านี่เป็นอุบาย
ที่จะให้พอเอาตัวรอด ...ซึ่งเราบอกว่า ถ้าคนที่ไปสำคัญอุบายเป็นหลักเมื่อไหร่
มันจะเห็นหลักเป็นอุบายทันที
เราก็บอกว่า มันต้องมาทำ ...มันทำจริงรึเปล่า
จะมาคิดเอาเองแล้วปฏิเสธเลยไม่ได้ ...ให้ทำแล้วถึงจะรู้...สติปัฏฐานจริงๆ น่ะคืออะไร
มันยังแยกไม่ออกเลยระหว่างสติปัฏฐานหรือมิจฉาสติ สมาธิ...สัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิ
ทำไมเราถึงบอกว่าสมาธิที่เรียกว่าสงบ
กายวิเวก จิตวิเวก เกิดจากการสงบระงับ ไม่ใช่สงบกระทำ แต่สงบระงับการปรุงแต่ง
ก็เกิดธรรมชาติของใจที่สงบเองแล้ว
เพราะมันระงับความปรุงแต่ง ไม่ตามความปรุงแต่ง ...ด้วยสติเท่าทัน ใจก็สงบระงับ ตั้งมั่น แล้วก็เป็นกลางในตัวของมันเอง ...ไม่ได้ทำเลย
ไม่ใช่ว่าไปนั่งเอาเป็นเอาตาย ทำไงให้มันนิ่ง ใช่มั้ย
ถ้าทำอย่างนี้เราบอกเลย อย่ามาคุยกัน ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง
ยังเถียงกันไม่จบ ...แล้วเราไม่เถียงด้วย เราก็บอก ดี ทำเยอะๆ เอาให้ตายไปเลย
เอาให้มันไม่ให้หลุดออกมาเลยนะ เออ แล้วค่อยมาคุยกัน
คือถ้าเป็นอย่างนั้นน่ะ
ถ้ายังทิฏฐิยังไม่ตรงนะ ยังแยกไม่ออกระหว่างสัมมากับมิจฉา
คุยกันอธิบายกันมันเหมือนว่า ..มึงไปไหน ..เออ ได้ยิน ...มันคนละเรื่อง (โยมหัวเราะ)
มันคุยกันไม่จบหรอก อย่างเนี้ย
แต่ในลักษณะที่ปลูกฝังในลักษณะของปัญญา
ก็จะสามารถอธิบายได้ว่า...สงบอย่างไรที่เรียกว่าสมถะ สงบยังไงที่เรียกว่าสมาธิ
สงบยังไงที่เรียกว่าไม่จงใจ สงบยังไงที่เรียกว่ามันเกิดเอง ใช่ป่าว
โยม – แต่คนที่ทำเป็น ก็ไม่รู้จะบอกไปยังไง
พระอาจารย์ – ไม่ต้องไปเถียงกับเขาเลย
เราก็บอกไปว่า...อนุโมทนา สาธุ เจริญเข้าไปมากๆ เดี๋ยวคุยกันไม่รู้เรื่องเอง
ต้องสนับสนุนไปเลย ...ลดละทิฏฐิความเห็นแม้กระทั่งถูกหรือผิดของตัวเองด้วย
ไม่เอาอะไรทั้งสิ้นในโลกนี้ ไม่เอาสาระใดๆ ทั้งสิ้นในธรรมทั้งหลายทั้งปวง ...มึงว่าถูกก็ถูกไปสิ (หัวเราะ) ก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่างเนี้ย ...ละไปก่อน
เพราะธรรมเป็นเรื่องของโอปนยิโก ...แม้แต่คนฟังธรรม ต้องโอปนยิโก
ไม่ใช่ไปบังคับให้เขาฟัง ด้วยความเชื่อใดความเชื่อหนึ่ง
จนกว่าดวงจิตของสัตว์นั้นบุคคลนั้นมีอาการน้อมเข้าสู่ธรรม หรือว่าน้อมมาฟังธรรม ...มันจึงจะรับธรรมได้เข้าใจ
แต่เมื่อใดที่จิตเขาไม่มีการโอปนยิโก
หรือมีการน้อมในธรรม หรือว่าน้อมที่จะฟังธรรม ...ลักษณะเช่นนี้แล้ว
เหมือนข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า มีแต่โทสะกับปฏิฆะ
เพราะนั้นน่ะถ้าไม่เข้าใจถึงสัมมาทิฏฐิจริงๆ มันยาก ...แล้วมันจะเกิดความขัดแย้งและแบ่งแยกมากขึ้น เกิดความร้าวฉานยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้มันก็ร้าวจนจะแตกระแหงแล้ว
จนจะปริ จนจะขาดจากกันอยู่แล้ว บอกให้เลย ...นักปฏิบัติบ้าบอคอแตกอะไรมาทะเลาะกันเรื่องไร้สาระสิ้นดี
เพราะนั้นว่าต้องปรับทิฏฐิให้ตรงก่อนว่า ที่พระพุทธเจ้าสอนน่ะคืออะไร เป้าหมายจริงๆ ของพุทธ ...เราถึงบอกวิถีแห่งพุทธ...คือวิถีพุทธะ
มันเหมือนพูดแบบตีกินหมด ถ้าคนโง่ๆ
แล้วมันก็หาว่าเล่นภาษา ...แต่จริงๆ น่ะพุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ...อยู่ในวิถีแห่งพุทธะไม่ต้องกลัวหลง รู้เข้าไป ตื่นไว้ ตื่นกับปัจจุบัน แค่นี้
หลวงปู่ก็สอนเราในดวงจิตผู้รู้นี่แหละ เพราะนั้นแรกๆ ของการปฏิบัติของเรานี่
อะไรเกิดขึ้น...รู้ๆ กำลังทำอะไร...รู้ อะไรเกิดข้างใน...รู้ ไม่ว่าอะไร...รู้
รู้ไว้ก่อน พ่อสอนไว้ ว่าให้รู้
คือหลวงปู่สอนไว้ ว่าอะไรก็ให้รู้ เป็นผู้รู้ ...นั่งก็รู้ ยืนก็รู้ เดินก็รู้
คิดก็รู้ ไม่คิดก็รู้ ดีใจรู้ เสียใจรู้ กิเลสเกิดรู้ ราคะเกิดรู้ โมหะเกิดรู้
โทสะเกิดรู้ ...รู้เข้าไว้ ไม่แก้ไม่หนี รู้อย่างเดียว
สงสัยรู้ จะคิดรู้
จะคิดตามความสงสัยรู้ ...รู้เข้าไปหมด รู้แก้หมดน่ะ เอารู้เข้าไปแก้ด้วยการรู้ ไม่ได้แก้ด้วยการกระทำ แต่แก้ด้วยการรู้ ...เนี่ย เราถือว่าวิถีนี้คือวิถีของพุทธะ รู้แบบโง่ๆ ไม่แก้ รู้แบบงอมืองอตีน
ก็ทำมาอย่างนี้
เวลาสอนเราก็สอนให้ทุกคนอย่างนี้ ให้ทำแค่นี้ ไม่เห็นมันมีความยากเย็นตรงไหน ...เพราะมันจะมีอะไรเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว ก็รู้มันเข้าไป เห็นมั้ย รู้โง่ๆ
พวกเรามันขี้เกียจรู้น่ะ ...แล้วขี้เกียจรู้เมื่อไหร่ก็คือขี้เกียจเจริญสติ
ขี้เกียจเจริญสมาธิ ขี้เกียจเจริญปัญญา ...นี่ ขี้เกียจอีกก็รู้อีก เอา ดูซิมันจะรอดจากรู้ไปได้ยังไง
แต่ว่าในลักษณะวิสัยของพวกโยมนี่ มันมีการเกี่ยวข้องมาก
มันไม่สามารถจะรู้เป็นอาชีพได้หรอก เพราะนั้นเราจึงให้รู้กายเป็นอาชีพ...ต้องมีอุบาย
เห็นมั้ย
ไอ้อย่างเรานี่อาชีพหลักคือภาวนา เกิดมาเพื่อภาวนา มาเป็นนักบวชโดยตรง ไม่มีอาชีพรอง ไม่มีการเกี่ยวข้องกับผู้คนโดยตรง
เพราะนั้นอาชีพหลักของเราคือ...รู้ (หัวเราะ)
รู้ไปตรงๆ เลย...ทุกอย่าง
ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อะไรจะเกิด อะไรจะดับ อะไรจะไม่เกิด อะไรจะไม่ดับ กูไม่สน
ใครจะเกิด ใครจะตาย ใครจะมีความคิดความเห็นอย่างไร ใครจะมองยังไง...ไม่สน
รู้อย่างเดียว
แต่อย่างพวกโยม...ไม่ได้
มันต้องหาอะไรเป็นที่พึ่งที่ยึด เป็นอุบาย...ก็คือสติปัฏฐาน ที่ฐานใดฐานหนึ่ง
ที่ชัดเจนที่สุดคือกายคตาสติ หรือว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ...เพราะนั้นพอรู้กายคตาสติ มันก็จะเห็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ก็จะเห็นกายเป็นวิปัสสนาญาณขึ้นมาเอง ตามลำดับ
เพราะนั้นดูมันไป...กาย ผมขนเล็บฟันหนัง ดูมันลงไป ...ดูตรงนี้นะ
ไม่ใช่ไปดูในความคิด ดูของจริง ดูผมจริงๆ รู้สึกที่ผม รู้สึกที่หนัง ที่เนื้อตัว
เนี่ย กายคตาสติ
อย่างบวชมาเป็นพระ เห็นมั้ย เวลาเป็นพระ
ท่านให้กรรมฐานเบื้องต้นเลย พระอุปัชฌาย์ต้องสอนกรรมฐาน ๕ ทุกองค์ไป คือ เกสา โลมา
นขา ทันตา ตโจ
พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้เลย ว่าอุปัชฌาย์ต้องสอนกรรมฐาน ๕ นี้
เพราะนั้นนักบวชทุกคนต้องรู้กรรมฐาน ๕ ว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ...ทีนี้คนนี้มันไม่เข้าใจ
นี่สำคัญ เรื่องกายนี่ทิ้งไม่ได้ ...แม้แต่พระพุทธเจ้ายังบอกไว้เลยว่าผู้บวชใหม่ทุกคนนะ ให้พิจารณากรรมฐานห้าเป็นหลัก
ผมขนเล็บฟันหนัง
แต่ไม่ใช่พิจารณาด้วยคิดหรือว่านั่งสมาธิแล้วก็นึกภาพขึ้น ...แต่ให้รู้ตรงๆ ลงไป มันมีอยู่ตลอดเวลา ผมขนเล็บฟันหนัง อย่าให้ขาด อย่าให้หายไป ...มีกายเป็นฐาน
แล้วเมื่อกายแน่น เข้าใจมากขึ้นหรือว่าชัดเจนว่าเป็นสิ่งหนึ่งแล้ว แล้วก็มีรู้อีกสิ่งหนึ่งกับกายแล้ว
จากนั้นสติปัฏฐานสี่ รวมลงเป็นหนึ่ง กายเวทนาจิตธรรมเป็นอันเดียวกันหมด
ก็คือเป็นแค่สิ่งหนึ่งที่ถูกรู้ ไม่เข้าไปว่าชื่ออะไรโดยสมมุติบัญญัติแล้ว ...มันก็จะกระจายออกไปครอบคลุม จนครอบคลุมไปทุกสรรพสิ่ง จนครอบคลุมไปถึงอนันตาจักรวาล
เห็นมั้ย แค่กายคตาสตินะ มันออกไปรู้ทุกสิ่งในอนันตาจักรวาล ด้วยอุบายของกายคตา
กายานุสติปัฏฐาน
แต่ถ้ามานั่งคิดนั่งค้นนั่งหาอะไรกันอยู่
มันก็มั่วไปหมด แล้วจับต้นชนปลายไม่ถูก เหมือนกับเคยภาวนา แต่ก่อนแรกๆ
เริ่มมางงเป็นไก่ตาแตก จับต้นไม่ถูก จับปลายไม่ถูก
จะทำอันไหนดี อันไหนถูกจริต จะหาจริตตัวเองให้เจอก็ไม่เจอ ...ก็บอกเจอแต่วิกลจริต(หัวเราะกัน) จะเอามั้ยล่ะ
วิกลจริต...มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
มันจะไปเอาแน่อะไร จริตวันนึงไม่รู้กี่จริต
บอกไม่ได้หรอกเป็นราคะจริต โทสะจริต ...มันอยู่ด้วยอาการวิกลจริต
คือมันแปรปรวนไปตลอดน่ะ
เพราะนั้นอุบายที่ใกล้เคียงกับหลักที่สุดก็คือสติปัฏฐานทั้ง
๔ ...กรรมฐานทั้งหลายก็หนีไม่พ้นสติปัฏฐานหรอก
มัวแต่ไปแบ่งแยกกันไป มองไม่แจ้ง
มองไม่กระจ่าง มันก็กับเหมือนพายเรือในอ่าง มันไม่ได้ออกไปสู่มหาสมุทร ...ก็จะเห็นว่าน้ำในตุ่มกับน้ำในมหาสมุทรก็น้ำ แต่มันกว้างกว่าเยอะ
ไม่ใช่แค่ในตุ่มเท่านั้น
ก็บอกแล้วเนี่ย ...ความเป็นจริง
มันยังมีความเป็นจริงที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่านั้น เปิดกว้างยิ่งกว่านั้น
เพราะนั้นตัวสติปัฏฐานทั้งหลาย เวลาเจริญสติให้ถี่ถ้วนแล้ว
เหมือนของคว่ำที่หงายขึ้นมา เหมือนของมืดที่ทำให้แจ้ง ...ปัญญานี่เข้าไปเปิด เปิดให้แจ้ง
ในสิ่งที่ลังเล มืดมน มืดมัว มะงุมมะงาหราอะไรกันอยู่
มันก็จะเปิดหงายออก
ของคว่ำก็จะเป็นของหงาย ...ไม่ใช่คว่ำอยู่กับกฎเกณฑ์ใดกฎเกณฑ์หนึ่ง
รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
พอเปิดขึ้นมานี่ ...โหย เคยโง่แทบตาย...ถึงเข้าใจ
……………………