พระอาจารย์
4/14 (540527)
27 พฤษภาคม 2554
พระอาจารย์ – รู้ตัว... รู้ ดูกาย ดูกายเงียบๆ รู้กายเงียบๆ
เห็นกายเงียบๆ ไม่ต้องพูดอะไร ...แล้วก็พอมันมีคำพูดหรือว่าปรุงขึ้นมา
ก็ให้ทันแล้วก็...ละได้ก็ละ ดับได้ก็ดับ ไม่ตามมัน
แล้วก็กลับมาอยู่กับกาย
สอดส่องอยู่กับกาย แยบคายอยู่ที่กาย ดูอากัปกริยากายเงียบๆ เห็นกายเงียบๆ ก็รู้เงียบๆ
ตามที่กายมันปรากฏอยู่ ...อย่าปล่อยให้มันปรุงมาก ไหล
เดี๋ยวก็คิดไปเรื่อย ตามความคิดไม่ทัน
สติเบื้องต้นนี่...ต้องเท่าทันความคิด เพราะส่วนมากมันจะไหลไปตามความคิด เวลาอยู่คนเดียว ใจลอย ลอยไปกับความคิด
คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องอดีตเรื่องอนาคต คิดไปเรื่อย
กลับมา เงียบๆ ดูกายเงียบๆ เบาๆ ...ไม่ต้องแยกรู้อะไรหรอก รู้กาย รู้ตัวไปเลย ว่านั่งนอนยืนเดิน แล้วก็ดูอาการทางกาย
ดูความรู้สึก...ดูความรู้สึกทางกาย เงียบๆ
เพราะความรู้สึกมันก็ปรากฏขึ้นเงียบๆ
อยู่แล้ว ใช่ป่าว ... กายมันเงียบ ใจก็ต้องเงียบ อย่าไปปรุง ...ไม่ต้องหาเหตุหาผล
ไม่ต้องไปคิดว่าคืออะไร จะทำอะไร
พอมันเริ่มมีความคิดอย่างนี้กรุ่นๆ ขึ้นมา จางๆ
เบาๆ นี่ ต้องตัดไฟแต่หัวลม ...ละได้ ละไปเลย ไม่ต้องคิด ...ก็กลับมาเพียรเพ่งอยู่ที่กาย เรียกว่าเพียรเพ่งก็ได้
เพ่งเข้าไป ...ถ้าไม่เพ่งแรงๆ เดี๋ยวก็ไหลลอยไปกับความคิดแล้ว ...พอมันเริ่มกรุ่นๆ อย่าเพลินกับมันนะ ...รู้ตัว ดูกายไปตรงๆ ชัดๆ อยู่อย่างนั้น แล้วความคิดมันก็จะค่อยๆ สลายไป
อย่าไปเสียดายเรื่องนี้เรื่องนั้น
เรื่องที่ยังไม่ได้คิด เรื่องที่คิดแล้วกำลังจะทำ หรือจะทำอะไรข้างหน้า ...ไม่ต้องไปคิด มันเป็นปริโพธิ นิวรณ์ นิวรณธรรม
ทั้งวันทั้งวี่นี่มันอยู่กับนิวรณธรรม
ติดข้องอยู่กับนิวรณธรรม...เป็นตัวที่ร้อยรัด ไม่ให้เกิดศีลสมาธิปัญญา คือนิวรณ์ ๕ ...ซึ่งมันไม่ได้มีแค่ตอนนั่งหลับตาภาวนานะ มันไม่ได้มีตอนที่นั่งพุทโธๆ แล้วก็เรียกว่ามีนิวรณ์ครอบงำ
นิวรณ์นี่มันครอบงำทั้งวัน ...ฟุ้งซ่าน ยินดี ยินร้าย พยาบาท อย่างนี้ ...พอไม่มีอะไรเงียบๆ ก็ซึม เหงา ลอย
โมหะครอบงำ นี่ เขาเรียกถีนมิทธะ ก็มีแค่นี้นิวรณธรรม
โยม – อย่างไปทำให้มันดูซึมๆ
รึเปล่าคะ
พระอาจารย์ – มันรู้ไม่ชัด
ระลึกรู้ขึ้นมาเป็นขณะไปเลยชัดๆ ...ดูความรู้สึกที่ขาซิ ที่ก้นซิ ดูเงียบๆ แข็งๆ อ่ะ
ตึงๆ น่ะ ดูมันเข้าไป ให้มันชัดตรงนั้น ตรงไหนก็ได้ที่มันชัดขึ้นมา
ดูไปเรื่อยๆ
ดูบ่อยๆ เดี๋ยวจิตมันก็ตื่นขึ้นมาเองน่ะ แล้วก็รักษาภาวะรู้ไว้ ... สติ ระลึกรู้ รักษาใจ ...พอเริ่มรู้ตัวต่อเนื่องได้สักระยะหนึ่งนี่ จะจับอาการของใจได้
มันก็ต้องประคับประคองไว้
สติ เหมือนกับเดินถือแก้วน้ำเต็มๆ แล้วพวกเรา...เออ
เดินยังไงไม่ให้มันน้ำหกน่ะ เวลาเริ่มต้นมันจะต้องประคับประคองอย่างนี้ก่อน
ประคับประคองสติให้ใจมันอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วก็ให้เกิดความต่อเนื่อง รู้เห็นกับกายต่อเนื่อง
ใครจะว่าประคับประคอง ใครจะว่าเพ่ง
ก็เอาไว้ก่อน ...ถ้าไม่งั้นน่ะ ลอย ไหล ...หลักมันเลื่อนลอยอยู่แล้ว
มันพร้อมที่จะเลื่อนลอยตลอดเวลา ...ก็พยายามกลับมา พอชำนาญแล้วคราวนี้ก็ไม่ต้องถึงขั้นเดินประคองแก้วน้ำเต็ม
ทำความเพียรอยู่อย่างนี้ นี่เขาเรียกว่าความเพียร...ระหว่างวัน ตลอดวัน ตลอดเวลา ไม่มีเวลาว่าง ไม่มี Time out ไม่มีเวลานอก ...ต้องทำเป็นงาน จนมันเกิดความเคยชินที่จะอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ลืมเนื้อลืมตัว
คุยก็ได้ ...เราไม่ห้ามคุยนะ แต่ตั้งสติให้ดี ก่อนจะพูด กำลังพูด พูดเสร็จแล้ว
นี่เขาเรียกว่าสติมันจะต้องสมบูรณ์ ...แล้วถ้ามันตั้งสติอยู่ ก่อนพูด
กำลังพูด แล้วระหว่างฟังอย่างนี้ ถ้ามีสติอยู่นี่มันจะคุยไม่ค่อยมัน
โยม – คุยไม่มัน
พระอาจารย์ – เออ มันไม่มัน
มันจะไม่เพลิน มันจะไม่เผลอ เดี๋ยวมันก็จะคุยน้อยลงไปเอง นี่ เราถึงไม่ได้ห้ามคุยไง
แต่ว่าห้ามลืม ลืมว่ากำลังพูดอยู่ ...พอรู้ตัวว่ากำลังพูดอยู่
เดี๋ยวมันก็พูดน้อยลงไปเอง
พอเริ่มจะพูด ตั้งใจจะพูดปุ๊บ มันก็... 'เอ๊อะ ไม่พูดดีกว่า' ...แต่มันไม่สนุก เงียบ มันเลยกลายเป็นเงียบๆ รู้เงียบๆ ...ให้คุยน้อยเพื่อให้ตั้งสติให้ดี ก็เรียกว่ากลับมาเรียนรู้อยู่กับเนื้อกับตัวก่อน อย่าไปเลื่อนลอย
เอาแค่ช่วงนี้แหละ ช่วงมาอยู่วัด ...ซัดจังด้วย(บอกโยมรุ่นเด็ก) อย่าช่างคุย ชอบคุย (หัวเราะกัน) ...โอ้ย ยังมีเวลาคุยอีกเยอะในชีวิตนี้ ต่อไป ไอ้เวลาที่ไม่ได้คุยนี่น้อย
ข้างนอก มันไม่มีอะไรเป็นแก่นสารสาระหรอก สนุกสนานเฮฮาก็เกิดๆ ดับๆ เกิดแล้วก็ดับไป ก็แค่นั้น มันไม่ได้มรรคได้ผลหรอก
ได้แต่ความสนุกเพลิดเพลินแล้วก็ดับ ...ติดข้องด้วย
ทุกอย่างที่ออกไปนอกกายใจนี่ ติดหมดน่ะ
มันเหมือนมีกาวน่ะ
ใจอันนี้...มันเหมือนมีกาว อะไรมากระทบปุ๊บ มันติดปั๊บเลย ออกไปหาเรื่องไปทำอะไรปั๊บนี่ ติด...ติดกับดักเลย ติดข้องกับโลกไปเลย ...แล้วถอนออกยาก
เพราะว่ามันไปติดจนแนบแน่น ด้วยความเคยชิน
เพราะนั้นว่าในระหว่างที่อายุยังน้อย
ยังเด็กยังเล็ก ยังมีเวลาในการปฏิบัติภาวนาอีกเยอะ มีกำลัง มีเรี่ยวแรงอยู่
ก็ต้องขวนขวาย ตั้งใจขึ้นมา ...มันไม่ได้ประโยชน์ของใคร
ประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น
ไม่ได้ภาวนาเพื่อพระพุทธเจ้า ไม่ได้ภาวนาเพื่อเรา ไม่ได้เพื่อพ่อเพื่อแม่เพื่อใครน่ะ ...มันประโยชน์ของตัวเอง เป็นประโยชน์ส่วนตัวล้วนๆ ...แต่ว่ามันจะได้เป็นประโยชน์สูงสุด ซึ่งไม่ใช่ประโยชน์แบบแค่ฉาบทาผิวเผิน
ด้วยคำพูดของคนภายนอก ก็แค่นั้น ไม่ต้องใส่ใจมาก ฟังแล้วก็ผ่านๆ ไป ใครจะว่ายังไง เวลาเขาด่า ...เออ ดี เขาให้กำลังใจ เขาติก็ว่า...ดี มันจะได้เป็นการขัดเกลากิเลสเจ้าของออก
จะได้รู้ว่าเรายังมีสนิมอยู่ที่ใจ อย่างเนี้ย
อะไรๆ
กระทบสัมผัสมาก็ถือว่าเป็นเครื่องชำระใจ ได้เห็นกิเลสเจ้าของแสดงตัว
หัวฟัดหัวเหวี่ยง หงุดหงิด รำคาญ หรืออะไรก็ตาม ...นี่มันคือสนิมที่มันกัดกร่อนอยู่ที่ใจ ก็จะได้เอาออกไป เห็นแล้วก็ละ แล้วก็วางออก
แต่ว่าถ้ามันไม่มีสติเห็น...มันก็ไม่ละวางได้ พอไม่มีสติปึ้บ มันมีแต่ว่าจะไปปรุงต่อ จะไปเพิ่มสนิม ...ทั้งวันน่ะ
มันเพิ่มมากกว่า หรือว่ามันขัดออกมากกว่า ไปชั่งน้ำหนักดู กี่โลกี่ขีด
คือที่เอาสนิมกลับเข้ามาเก็บนี่กี่ขีดกี่โล
หรือเป็นตัน หรือว่านับไม่ถ้วน กับการเอาออกได้แค่ ขณะนึงๆ ...ดูซิมันจะพอมั้ยนี่
มันจะพอทันกิเลสมั้ย ...เพราะนั้นมันต้องตั้งอกตั้งใจ
โยม – แล้วอย่างอาจารย์บอกว่า
ให้ดูกายให้ชัดขึ้น ก็คือทั้งตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสอย่างนี้เลยหรือคะ
พระอาจารย์ – ใช่ แต่จริงๆ ก็ไม่ต้องไปเน้นตรงนั้นหรอก เอาเน้นตัวก้อนๆ ที่ไหว ที่นิ่ง ที่ตึง ที่อ่อนที่แข็งนี่ก่อน ...แล้วมันจะแผ่ขยายออกไปเอง เมื่อมันชำนาญหรือว่ามันอยู่ตัวแล้ว
เมื่ออยู่กับเนื้อกับตัวแล้วนี่ คราวนี้พอมันเผยอจะออกไปไหน กระเพื่อมไปทางตามันก็รู้
กระเพื่อมไปทางหูมันก็ทัน กระเพื่อมไปทางความคิดมันก็ทัน
ถือว่าได้หลัก มีหลัก เอากายเป็นหลัก เหมือนกับตอกหลักให้มั่นน่ะ ตอกหลักให้แน่น ...ไม่ใช่หลักแบบปักบนขี้เลนน่ะ ใช่ป่าว
ถ้าหลักมันปักบนขี้เลนนี่ อะไรแตะนิดนึงก็ล้มแล้ว นี่เขาเรียกว่าไม่ตั้งมั่น
เพราะนั้นที่ให้มาเน้นที่กายนี่
เหมือนกับปักหลักให้มันแน่น ผูก ให้มันตอกตรึงอยู่กับหลัก ไม่โยกไม่คลอน
...พอมีอะไรมากระทบปั๊บ มันก็จะรู้ เห็น เท่าทัน เร็วขึ้น ชัดขึ้น ในอาการทางหูทางตาด้วย
เพราะว่าอาการพวกนี้ ภายนอกนี่ เวลามันมากระทบสัมผัสนี่ มันมาแบบไม่คาดไม่ฝันนะ ใช่มั้ย มาแบบไม่คาดไม่ฝันน่ะ
มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวนะ...ผัสสะน่ะ
อย่างเดินอยู่ เห็นหน้าเขาดีๆ เดินมา
ก็ไม่นึกว่าเขาจะว่าอะไร เขากลับด่าตรงนั้นเลยก็ได้ อย่างนี้ เห็นมั้ย
ผัสสะมาไม่คาดไม่ฝัน ...เพราะนั้นถ้าหลักไม่แม่น หลักไม่มั่น
ปุ๊บนี่ ควันออกหูไปแล้ว ยังไม่รู้เลย ด่าไปแล้ว
หรือไม่ก็หงุดหงิดรำคาญแล้วเดินไปด่าไป ใจนะ เดินไปบ่นไป จนถึงบ้าน จนถึงกุฏิ ถึงเพิ่งนึกได้ ...เอ๊ย โกรธว่ะ แน่ะ ...หูย
มันทิ้งช่วงห่างขนาดนั้น เขาเรียกว่ามันล้มแล้ว อย่างเนี้ย
เพราะนั้นหลักต้องมั่น ต้องแน่น ...ถึงให้กลับมารู้กาย ไม่มีอะไรก็รู้ ไม่มีอารมณ์อยู่ก็ต้องรู้
ถือว่าเป็นธรรมเตรียมพร้อม...เตรียมพร้อมออกรบ ถ้าไม่เตรียมพร้อม...ตายลูกเดียว
ถูกฆ่า กิเลสมันลากเอาไปฆ่าแล้ว เป็นทุกข์แล้ว เร่าร้อนแล้ว
เราเปรียบว่า กายอันนี้
เหมือนเรานั่งเล่นหน้ากองไฟ ...เคยเล่นมั้ยแคมป์ไฟน่ะ
ก็นั่งอยู่หน้ากองไฟ แล้วขณะที่ไฟมันลุกอยู่นั่นน่ะ เห็นมั้ย
เห็นสะเก็ดไฟมันแตกมั้ย อือ มันก็แตกโป้งป้างๆ กระเด็นไปกระเด็นมา
มันก็เป็นสะเก็ดไฟออกมา
แต่เราถ้ารู้อยู่ ดูอยู่ เห็นอยู่ แล้วก็ดูสิว่ามันไม่ไปลาม ไม่ไปไหม้ที่ไหน ที่สุดมันก็ดับ อย่างเนี้ย ...ถ้าเรานั่งเฝ้าอยู่หน้ากองไฟนี่ มันก็เห็นน่ะ อะไรจะกระเด็นออกมา
อะไรจะกระเด็นเข้ามา มันก็เห็น
แต่ถ้าจุดกองไฟแล้วก็ไปเดินเล่น เที่ยวชมสวนเดินป่าดูดอย เพลิดเพลินกับธรรมชาติ ...กลับมาบ้านช่องไหม้หมดแล้ว
ไม่รู้ว่าไหม้เพราะอะไร ...ก็ไอ้ไฟกองนี้
เพราะนั้น ถ้าเรานั่งเฝ้า
ดูอยู่กับกองไฟ นั่งอยู่หน้ากองไฟไม่ไปไหน มันจะแตกออกมาเป็นสะเก็ดก้อนใหญ่ก้อนเล็กก้อนน้อย
ก็ดูซิ มันมีไปลุกไปลามมั้ย แล้วไม่ต้องไปพยายามก่อไฟเพิ่มด้วยการหาเชื้อมาสุมกับสะเก็ดไฟที่กระเด็นออกมาต่อ
อย่างเงี้ย
ความคิดความปรุงทั้งหลายนี่เหมือนสะเก็ดไฟที่มันแตกออกมา ส่วนไอ้ไฟกองใหญ่ที่เรานั่งหน้ากองไฟนั้น
ก็คือกายกับใจในปัจจุบันนี่แหละ คือไฟ กองไฟ... ตอนนี้เรานั่งอยู่กับไฟนะนี่
แต่ไม่มีใครรู้หรอก
นึกว่านั่งกับรูปภาพที่สวยงาม รูปภาพที่มีคุณประโยชน์ รูปภาพที่มีสาระ
รูปภาพที่จะสามารถเอามันไปใช้ประโยชน์ หาความสุข หาความสบาย
หาความสนุกเพลิดเพลินได้ ...มันไม่เห็นว่าขณะนี้มันนั่งหน้ากองไฟ
มันจะไปเห็นก็ตอนที่เข้าโรงพยาบาลน่ะ
หรือไปเห็นตอนใกล้ตาย นั่น ทุกข์จริงๆ ทุกข์จริงๆ ...แล้วก็ลืมนะ พอหายแล้วก็ลืม
มันเลยไม่เห็นว่ากายอันนี้ใจอันนี้...เป็นไฟยังไง ...ไม่เห็นไม่พอ มันยังไปสุมไฟเพิ่มอีก
เวลาสะเก็ดมันแตกออกมาเป็นความคิด เป็นความจำ เป็นอดีต เป็นความรู้ เป็นความอยาก
เป็นความไม่อยาก อะไรก็ตาม ...มันเอาไฟไปสุมต่อให้ไม่รู้กี่กองต่อกี่กอง
ลุกลามใหญ่โตเร่าร้อนไปหมด
เนี่ย เล่นกับไฟ เล่นไม่เป็น
คิดว่าจะได้ประโยชน์ถ่ายเดียว มันมีแต่โทษ ...แล้วแต่ละคนก็ก่อกองไฟ
มีไฟเป็นของตัวเองคนละกองๆ แล้วต่างคนต่างสุมไฟขึ้นมาใหม่อีกนี่ ...โอ้โห
เหมือนไฟนรก ในโลกนี่ มันร้อนเหมือนนรกบนดิน
เพราะมันสุมไฟด้วยความคิด
สุมไฟกับอารมณ์ สุมไฟกับความปรุงแต่งต่างๆ นานา ความจะได้ ความจะมี ความจะเป็น ...ก็เติมเชื้อ ไขว่คว้าด้วยการกระทำ เจตนา ด้วยกายวาจาใจออกไป
เห็นมั้ย
อวิชชามันปัจจยามาทั้งนั้น แต่พวกเราไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยสักอย่าง ...นี่ เพราะขาดสติ ...เพราะนั้นเมื่อสติระลึกรู้นี่
เหมือนจับมันมานั่งหน้ากองไฟนะ ...ยังไงก็ร้อน ยังไงก็ต้องอดทน หนีไม่พ้นหรอก
ไฟกองนี้
เวลาเรามาอยู่ในกาย เกิดมากับกายอันนี้ เหมือนกับถูกขังคุกน่ะ
ถูกจำคุกแล้ว ถูกพิพากษาจำคุกแปดสิบปี เก้าสิบปี ร้อยปี ไม่เกินนี้หรอก ...ถูกพิพากษาจำคุกในหนึ่งชาติ หนีไม่พ้นหรอก ยังไงก็ต้องอยู่กับกาย
แต่ทำยังไงถึงจะเรียนรู้กับมัน
เข้าใจมัน เท่าทันมัน ...อย่างนั้นไฟกองนี้มันก็มอดไปดับไปเป็นธรรมดา เราก็ไม่ได้ไปให้คุณค่าของไฟนี้ที่จะต้องไปไขว่คว้าต่อ ให้มันมีไฟยืดยาวออกไป
หรือหวังว่าไฟกองหน้าจะเย็นกว่านี้...ไม่มี
เพราะนั้นก็ต้องมานั่งอยู่หน้ากองไฟนี่ ด้วยศีลสมาธิปัญญา สติสัมปชัญญะ ไม่ต้องหนีไปไหน แล้วก็ไม่ไปเล่นกับไฟกองอื่น
หรือไปสุมไฟกองใหม่ ...คือกลับมาอยู่กับกายบ่อยๆ ให้ต่อเนื่อง
จนถึงขั้นปักหลักปักฐานเลย เอากายเป็นมรรค เอากายเป็นผล
ไม่งั้นเราจะกลายเป็นกบเฝ้ากอบัว
มีใจอยู่กับกายตั้งแต่เกิด แต่เหมือนกับกบที่อยู่บนกอบัว ไม่รู้คุณค่าของบัว
กระโดดไปมาหาจับแมลงกิน สุดท้ายก็กลับมานอนใต้กอบัว ไม่มีประโยชน์สาระอะไร มันไม่เห็นคุณค่า เหมือนกบเฝ้ากอบัว
เมื่อไหร่ที่เราเห็นคุณค่าของกาย ในแง่ของการเจริญปัญญากับกายได้
ให้เกิดเป็นมรรคเป็นผลแล้วนี่ ... มันจะไม่หนีไปไหน มันจะไม่ออกไปส่ายแส่ในรูป
ในเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ ภายนอก
มันไม่ออกไปส่ายแส่ แต่มันก็ไม่ปฏิเสธ ...มันก็รับรู้ แล้วก็มาทำความแยบคาย ว่าเสียงนั้นคืออะไร รูปคืออะไร กลิ่นคืออะไร
รสคืออะไร เย็นร้อนอ่อนแข็งคืออะไร
มันมีความหมายมั้ย มีความเป็นตัวเป็นตนมั้ย
มันมีชีวิตจิตใจมั้ย มันมีใครเป็นเจ้าของมั้ย เสียงนี้รูปนี้ มันเคยบอก
มันเคยพูดมั้ยว่ามันคือใคร มันมีประโยชน์ตรงไหน มันเคยบอกมั้ยมันมีโทษมีคุณตรงไหน
ก็มาเรียนรู้แยบคายกับอาการของผัสสะที่กระทบ ...มันจะได้เข้าไปลบล้างความเห็นผิด ที่ไปก่อให้เกิดความยินดียินร้ายในรูปเสียงกลิ่นรส
แต่ตอนนี้ถ้าเราไม่เฝ้าดูสังเกตหรือว่าเท่าทัน เราก็จะไม่เข้าใจอาการพวกนี้ที่มันปรากฏ
ที่มันตั้งอยู่ หรือที่มันดับไป ...มันก็อยู่ด้วยความไม่รู้
ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรสักอย่าง
มีแต่ว่ามันกระทบปั๊บก็มีอารมณ์
พอมีอารมณ์มันก็ทำตามอารมณ์ไป ทำตามความรู้สึกไป ผิดชอบชั่วดีไปตามความเชื่อต่างๆ
นานา นี่มันทำด้วยความไม่รู้ทั้งสิ้นเลย
ด้วยความไม่รู้นี่แหละจึงจะไม่รู้จักจบสิ้น
มันจะถึงเข้าไปสู่ความที่เรียกว่าไม่จบสิ้น ไม่มีหัวไม่มีท้าย ไม่มีต้นไม่มีปลาย ...จนกว่าเราจะมีปัญญา แยบคาย เท่าทัน
เข้าใจ อาการทั้งหมดตามความเป็นจริง
ว่าเสียงคืออะไร รูปคืออะไร ขันธ์คืออะไร
ตั้งมาทำไม มันตั้งมาเพื่อใคร เป็นของใคร ...เนี่ย ปัญญามันจะเข้าไปแยบคาย
จนเห็นความเป็นจริงทุกเม็ดทุกส่วน
ไม่มีที่ไหนที่มันจะไม่แยบคายไม่เข้าใจ
หรือไม่ชัดเจน ... มันก็ละเอียดถี่ถ้วนในทุกอณูของขันธ์ที่ปรากฏ
หรือว่าทุกขณะของขันธ์ที่ปรากฏ จนมองเห็น จนเข้าใจ
ว่าขันธ์ก็คือธรรมชาติหนึ่งของไตรลักษณ์เท่านั้นเอง ไม่มีชื่อเสียง ตามบัญญัติตามสมมุตินั้นๆ ที่มนุษย์คนในโลกเขาสมมุติบัญญัติขึ้นมาว่านั่นว่านี่
มันก็ยอมรับตามความเป็นจริงที่เป็นความเป็นจริง จริงๆ ...ที่ไม่ใช่เป็นความเป็นจริงแค่ตามสมมุติบัญญัติ ...เพราะมันจะเข้าใจว่าถ้าไปยอมรับแค่ความจริงตามบัญญัติตามสมมุตินั้นแหละจะเกิดทุกข์
ดีบ้าง ร้ายบ้าง
เพราะว่าโดยสมมุติน่ะมันมีอยู่แปดอย่าง ที่ท่านเรียกว่าโลกธรรมแปด
ยินดียินร้าย มีสุขมีทุกข์ มีติมีชม มีทรัพย์เสื่อมทรัพย์ มีลาภเสื่อมลาภ นี่แหละ ...มันจะเกิดอาการนี้ตามที่เราให้ความเชื่อกับสมมุติและบัญญัติ
นี่จนกว่าเราจะเข้าใจ ทะลุ
ถึงความเป็นจริงของโลก ...ก็จะยกจิตข้ามโลกธรรมแปด ข้ามเลย
(บอกโยม) หลับแล้ว ...ลืมตา
โยม – (หัวเราะ) มีวูบไปนิดหน่อย
พระอาจารย์ – เออ กลับมารู้
กลับมาฟังที่เสียงเป็นคำๆ ไป อย่าใจลอย เพลินไปกับเสียง นั่นมันไหล
กลายเป็นฟังเสียงเราเป็นเสียงกล่อม หลับเลย (หัวเราะ)
ฟัง ...เห็นคำเป็นคำๆๆๆ กระแทกลงไป
แล้วก็ดับตรงนั้นน่ะ ...ไม่ต้องเอาเนื้อความ แต่ให้เห็นความเป็นจริงของเสียงว่ามันเป็นยังไง
กระทบมาๆ แล้วก็ดับ เป็นคำๆ ประโยคๆ เป็นท่อนๆ ไป
เนี่ย
ถ้าไม่มีสติมันไม่สำเหนียกความเป็นจริงอะไรได้เลย เข้าไปอยู่ในภพหลับ ภพไหล ภพหลง ภพเผลอ
ภพเพลิน ภพที่เป็นโมหะภพ สมาธิก็เป็นโมหะสมาธิ เป็นมิจฉาสมาธิ
ตั้งมั่นไปตั้งมั่นมา
ทำไมมันหายไปได้ยังไง เห็นมั้ย มันไม่มีอารมณ์อะไร
แต่มันหายไปดื้อๆ เลย เขาเรียกว่า ไอ้โจรตัวนี้มันมาขโมยเอาไปต่อหน้าต่อตาเลย
คือมันฉุดลากไปฆ่าต่อหน้าต่อตาครูบาอาจารย์เลยนะเนี่ย ... มันบังอาจมากเห็นมั้ย
(หัวเราะกัน)... ยังจะเลี้ยงมันไว้อีก ไปเลี้ยงมันได้เหรอกิเลสโมหะ กิเลส
โยม – ... ไม่ดีเลย
พระอาจารย์ – กินข้าวอิ่มมา ธรรมดา ...อาหารมันจะไปมีการย่อย ระบบนี่มันมีอาการย่อยอยู่ที่กระเพาะ ลำไส้
เวลามันจะเอาสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายทั้งหมดนี่ มันก็ต้องผ่านเส้นเลือดขึ้นมา
เพราะนั้นเลือดมันจะดึงมารวมที่กระเพาะลำไส้
มันทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองข้างบนน้อย ...มันเลยเกิดความซึม เบลอ
เพราะนั้นเวลาปฏิบัติธรรม
ตอนเราฝึกเริ่มปฏิบัติธรรม เวลากินข้าวเสร็จนะ ล้างบาตรอะไรเสร็จนี่ เรากลับกุฏิ
ยังไม่เอาบาตรขึ้นกุฏิหรอก เอาวางไว้ตรงตีนบันได เดินจงกรมก่อนเลย
ขนาดเดินยังหลับเลย เดินเซไปเซมาอย่างนั้น ...ก็เดินไปอย่างงั้น เพื่อให้จิตมันตื่น นี่ ความพากความเพียร
คือเอาชนะกิเลสที่มันจะมาครอบงำใจ มาปิดบังใจ ทำให้ใจหายไป ทำให้ใจเสียหาย
คือมันหาย ใจมันหาย รู้หายก็คือใจหาย ไม่รู้ก็คือไม่มีใจ ...มันถูกโมหะ ความมืด ความมัว
ความซึมเซา ครอบคลุมเหมือนกับหมอกตอนหน้าหนาวที่คลุมปิดถนนหนทางไม่รู้จะไปไหนดีน่ะ
เหมือนเดินอยู่กลางหมอกอย่างนี้ มันซึม มะงุมมะงาหรา นี่โมหะ ...เพราะนั้นโมหะจริงๆ
เป็นกิเลสที่ละเอียด ยาก...เท่าทันยาก แต่ว่าต้องฝึกนะ
(ถามโยม) ซัดจังเป็นไงมั่ง
สบายดีขึ้นมั้ย
โยมอีกคนบอก – เก่งนะ
เมื่อคืนออกไปเดินจงกรม
พระอาจารย์ – ดี เดินจงกรมเยอะๆ ...รู้จักกับเขาบ้างรึเปล่า คำว่าเดินจงกรมน่ะ
โยม – ไม่รู้จัก
พระอาจารย์ – ก็เดินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดอะไร เดินแล้วก็ดู...ดูว่าอะไรมันไหวๆ อยู่ ดูขามันไหวๆ แล้วพอมันบอกว่าขาก็ให้เห็นว่า คำว่าขาดับ
แล้วก็มีแต่อะไรไหวๆ ...เห็นมั้ย เคยเห็นมั้ย
พอมันคิดว่าขากำลังเดินนี่ ว่า "กำลังเดิน" ก็รู้ว่ามันบอกว่ากำลังเดิน ใจมันบอกว่า "กำลังเดิน" แล้วพอรู้ทันว่าบอกว่ากำลังเดิน
เดี๋ยวไอ้ “กำลังเดิน” มันก็หายไป แล้วมันก็จะเหลือแต่อะไรไหวๆ ไม่มีคำพูด
เนี่ย ให้ดูเงียบๆ อย่างนี้
เขาเรียกว่า รู้ดูเห็นกายเงียบๆ ...แต่เดี๋ยวสักพักมันก็บอกว่า “กำลังเดิน”
ขึ้นมาอีกแล้ว ขากำลังเดิน ขากำลังเหยียบ
พอรู้ว่ามี “ขากำลังเดิน ขากำลังเหยียบ”
ปุ๊บ เดี๋ยวที่ว่า “ขากำลังเดิน ขากำลังเหยียบ” ก็ดับ แล้วก็มีแต่เหยียบ เดิน เงียบๆ
ไม่รู้อะไรเหยียบ ไม่รู้อะไรเดิน ...นั่นแหละกาย
เนี่ยกลับมารู้ การเดินจงกรมนี่
ทำอยู่แค่นี้ ...ไม่ต้องไปว่า เดินยังไงให้สงบ เดินยังไงให้ไม่มีความคิด ไม่ต้องน่ะ ...เอาว่า เดินยังไงให้เห็นตามความเป็นจริง
อย่างนี้เรียกว่าเดินเป็น
เพราะนั้นตลอดชีวิตมานี่พวกเราเดินไม่เป็น ...การมีชีวิตอยู่ทั้งชีวิตนี่ เดินไม่เป็น นั่งไม่เป็น ยืนไม่เป็น นอนไม่เป็น
ไม่รู้ว่าอะไรมันนั่งมันนอน
มันรู้โง่ๆ รู้แบบไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า "เรากำลังนอนอยู่
หรือบอกว่าเรากำลังนั่ง" ...แล้วมันก็เชื่อด้วยนะว่า...เรากำลังนั่ง เห็นมั้ย
................................