พระอาจารย์
4/10 (540513C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
13 พฤษภาคม 2554
โยม – พระอาจารย์คะ เวลาเห็นคนที่เขาทำความสงบ
ทำสมาธิและเดินจงกรมนี่ค่ะ เราอยากให้เขาเข้าใจว่า ที่เขาสวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิ นี่คือนั่งอะไร แล้วการเดินจงกรมนี่คือเดินอะไร โยมคิดว่าถ้าโยมพูดมันจะผิดน่ะ มันจะผิดจากความเป็นจริง
มันจะปรุงแต่ง เพราะโยมนี่โยมไม่ได้ทำอะไร โยมเดินแล้วโยมเดินเฉยๆ นั่ง...โยมก็นั่งโยมเฉยๆ
แต่โยมก็เข้าใจของโยมคนเดียว
พระอาจารย์ –
คือในลักษณะของการเดินจงกรมนั่งสมาธิสำหรับนักปฏิบัติทั่วไป
คือเขาจะมุ่งเน้นเป้าหมายคือความสงบ เข้าใจมั้ย ด้วยอุบายอะไรก็ตาม พุทโธก็ได้
ลมหายใจก็ได้ หรือว่าดูอากัปกริยาของกายก็ได้
แต่ว่าเขาจะมีจุดหมายเป้าหมายคือให้สงบ สงบเพื่อให้จิตมันรวม ให้มันนิ่ง ... เมื่อจิตรวม จิตนิ่ง ก็จะเห็นภาวะใจชัดเจนขึ้นมาในจิตรวมใจนิ่งนั่น
นั่นคืออุบาย ...เพราะถ้าไม่เดินจงกรม นั่งสมาธิ ในอิริยาบถประจำวันนี่ มันจะหาความสงบไม่ได้ชัดเจน มันเลยต้องอาศัยรูปแบบ
ช่วงเวลาทำให้เกิดความสงบตั้งมั่นโดยชัดเจน ...จึงต้องอาศัยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม
แต่ถ้าลักษณะที่เจริญสติ...อย่างที่เราพูด เป็นสติธรรมชาติ เป็นสติที่ไม่มีเป้าหมาย ไม่ได้เพื่ออะไร ไม่ได้เพื่อว่าสงบ
ไม่ได้เพื่อว่าเห็นหรือว่าเกิดความรู้อะไร หรือให้เกิดสภาวะอะไรขึ้นมา
แต่เป็นสติธรรมชาติคือ แค่รู้...ว่ามีอะไรปรากฏเดี๋ยวนี้ โดยไม่เข้าไปจำแนกแยกแยะ
หรือบอก หรือเลือกว่านี่คือนั้น หรือต้องเป็นอย่างนี้ หรือต้องไม่เป็นอย่างนี้ ...นี่คือสติที่เรียกว่าเป็นสติธรรมชาติ
รู้แบบธรรมชาติ
เพราะนั้นในลักษณะที่สติธรรมชาติหรือรู้ธรรมชาตินี่
จึงสามารถจะใช้ได้กับทุกกาลเวลาสถานที่ โดยไม่จำเป็นว่า รู้แล้วจะต้องเป็นอะไร
หรือรู้แล้วจะต้องได้อะไร หรือรู้แล้วจะต้องสงบ หรือรู้แล้วจะต้องไม่ให้มีความคิด
แต่รู้ในทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่
ณ ขณะนี้ ...ไม่ว่าทางกาย นี่ ได้ยินเสียงมั้ย รู้มั้ย (ค่ะ) นี่รู้...รู้กับเสียงในปัจจุบัน ...เราไม่ได้ห้าม เราไม่ได้บอกว่ารู้แล้วต้องไม่มีเสียง หรือว่ารู้แล้วปั๊บเสียงนี้จะต้องดับ อย่างนี้
แล้วหลังจากได้ยินเสียง
รู้ว่าได้ยินเสียง แล้วก็รู้ต่อไป มันก็ดูต่อไป...ถ้ายังมีสติอยู่ก็รู้อยู่ว่าพอใจมั้ย หรือเฉยๆ มั้ยกับเสียง ก็รู้อย่างนี้ ก็ดูอาการตามมาหลังจากที่เสียงปรากฏนี่
มีอะไรปรากฏมาอีก
หรือว่าเห็น...เห็นผู้ชายหรือผู้หญิงหน้าตาดี ตาพอเห็นปุ๊บ เอ้า
เกิดความยินดีพอใจ สวย หล่อ ...ก็ไม่ได้ห้าม แต่ให้รู้ว่ามีความพอใจ อนุโมทนากับเขา
หรือว่าชอบว่าดูดี หรือว่าเห็นคนนี้ทำอากัปกริยาอย่างนั้นอย่างนี้
ปุ๊บ แล้วหงุดหงิดรำคาญใจ ก็ไม่ได้ห้ามหงุดหงิด...แต่รู้...ว่ารู้สึกหงุดหงิดกับรูปนี้กับอาการนี้ ...แค่นี้
แล้วก็ดูอาการที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ของมัน...แล้วแต่มันจะเป็น ... ไม่ได้เข้าไปเป็นผู้จัดการ แต่เป็นผู้ดูกับผู้รู้แล้วก็ผู้เห็น แค่นั้นแหละ เหมือนเป็นซี. อี. โอ. เดินไขว้หลัง แล้วก็ดูงาน อือๆๆ อย่างนี้
อย่าริอ่านลดชั้นตัวเองเป็นภารโรง เข้าไปเก็บกวาดปัดถู จัดแจงตกแต่งใหม่ ...เหมือนกับการที่นั่ง(สมาธิ) ... ถ้าไม่สงบ
แล้วเครียด เช่นถ้าไม่สงบนี่ก็ว่า 'เฮ้อ ฮื้อ มาปฏิบัติธรรมนี่ไม่ได้อะไรเลย' นี่ เข้าใจมั้ย
มันคนละแบบกันนะกับสติที่เราให้เจริญ ที่มันจะเป็นแบบ... สงบ...เออ รู้ว่าสงบ ฟุ้งซ่าน...เออ
รู้ว่าฟุ้งซ่าน หงุดหงิด เออะ รู้ว่าหงุดหงิด อยากให้สงบ...รู้ว่าอยากให้สงบ เห็นมั้ย เขาเรียกว่ารู้แบบโง่ๆ น่ะ อะไรเกิดขึ้นกูก็แค่รู้ ไม่เข้าไปจัดการ
แล้วก็ไม่ได้ไปหวังผล
เพราะนั้นถ้าจะกลับเข้ามาทำในรูปแบบ
ก็อย่างที่เราว่า ก็รู้เฉยๆ นั่งก็แค่นั่งเฉยๆ แล้วก็รู้ ...ไม่มีอะไรก็รู้
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้ มีความคิดเกิดก็รู้ ได้ยินเสียงก็รู้
หงุดหงิดกับเสียงก็รู้ เผลอไปอีกก็รู้ อย่างนี้
ก็รู้เฉยๆ อย่างนี้ รู้กับอะไรก็ได้ที่เกิดขึ้น
อย่างนี้ นี่คือสติตามธรรมชาติ สติตามความเป็นจริง ...ไม่ใช่สติที่เข้าไปสร้างความเป็นจริงขึ้นมาใหม่
เหมือนนั่งแล้วต้องให้สงบ
เดินแล้วจะต้องให้ไม่วอกแวก ไม่ให้มีความคิด
มันเหมือนกับเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลเลยนะ ห้ามทำนั่น ห้ามหยิบห้ามแตะนะ ของๆ ฉันนะ
เห็นมั้ย มันเป็นผู้จัดการฝ่ายปกครองอะไรอย่างนี้ เป็นผู้คุมระเบียบ
เพราะนั้นนักภาวนาที่เดินจงกรมเอาเป็นเอาตาย
นั่งก็แบบแข็งเกร็ง เหมือนครูผู้ปกครองเลย เหมือนครูฝ่ายปกครอง ห้ามแตกแถว
ห้ามนักเรียนแตกแถว ห้ามผิดระเบียบวินัย ห้ามพูดห้ามคุย ห้ามทำตัวอย่างนั้นอย่างนี้ เนี่ย เหมือนครูฝ่ายปกครองเด๊ะเลย
ไม่เอา ...เราเป็นแบบอิสระชน เราเป็นพวก Let it go and
let it be ให้มันเป็น...แต่เราไม่เป็น ให้มันไป...แต่เราไม่ไป เราจะอยู่ที่ใจในปัจจุบัน นั่นแหละ ให้มันไปกับให้มันเป็น...แต่ไม่มีใครไปกับไม่มีใครเป็น นั่นแหละคือสติที่เรียกว่าสติปัฏฐาน...อยู่ที่ฐานปัจจุบัน
เพราะนั้นอะไรที่มันจะไม่ให้ไปไม่ให้เป็น
ง่ายที่สุด คือตัว...รู้ตัวๆ เพราะว่าถ้าเป็นความคิดความจำขึ้นมา มันมักจะไป
มักจะเป็นไปกับมัน เสียง รูป กลิ่น เวลากระทบสัมผัสปั๊บ มันมักจะเข้าไปอิน
เป็น insider ไม่ใช่เป็น outsider
สติที่รู้จริงเห็นจริงนี่
จะเป็นลักษณะ outside อยู่ข้างนอกจากสิ่งที่รู้ มันอยู่ห่างๆ เห็นห่างๆ รู้ห่างๆ ได้ยินห่างๆ ได้ยินก็ได้ยินที่ใจ ไม่ได้ยินที่หูน่ะ มันได้ยินอยู่ที่ใจ เห็นน่ะมันไม่ได้เห็นที่ตา
มันเห็นที่ใจ ...มันสองเห็น เห็นแรกแล้วเห็นใจ พอเห็นใจเห็นปุ๊บแล้วมันไม่เห็นที่ตา มันเห็นที่ใจ
ถ้ายังมองไม่ออกอย่างนี้ ก็ทำไปก่อน ... แล้วจะรู้ว่าทุกอย่างน่ะเป็นเครื่องเรียนรู้ เป็นแบบฝึกหัด เป็นข้อสอบ ...ถ้าไม่ผ่าน ก็เจออีก see you again , coming soon เดี๋ยวก็เจอกัน
เดี๋ยวเจอใหม่ ... ถ้ายังไม่ผ่าน แปลว่าสอบตก ก็จะเจอผัสสะนั้นๆ อาการนั้นๆ อีก
แต่อาจจะเปลี่ยนลักษณะบุคคล
อาจจะเปลี่ยนลักษณะสถานที่ อาจจะเปลี่ยนลักษณะของกาลเวลา แต่ความยึดมั่นถือมั่นอารมณ์อย่างนั้น ลักษณะอย่างนั้น...จะเหมือนเดิม ซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ ...โทษฐานแห่งการโง่ จึงสอบตก ต้องเรียนใหม่ ต้องเรียนอีก แล้วสอบใหม่ สอบอีก
เวลาผ่าน...ผ่านเอง ไม่มีใครบอกว่าผ่าน
มันรู้ด้วยตัวเอง 'อ้อ จะไม่ไปหลงมัวเมา โง่เขลาเบาปัญญากับอาการนี้ ผัสสะนี้
ความรู้สึกนี้ อาการของบุคคลเช่นนี้อีกแล้ว' ... มันรู้เอง
แล้วก็ไปเรียนข้อสอบใหม่ ...ข้อสอบมันก็จะละเอียดขึ้น หินขึ้น มีความน่าจะเป็นเหมือนมากขึ้น แบบเคยเป็นช้อยส์ใช่มั้ย
เอ บี ซี ดี คราวนี้มันจะให้ เอกับบีแตกต่างกันไปเลย แล้วจะให้บีกับซีเหมือนกันมาก
จนเราตัดสินใจไม่ถูกว่าอันไหนมันถูกที่สุดวะเนี่ย
สุดท้ายหลับหูหลับตาเลือก ปึ้บ...ทุกข์เท่านั้นที่จะสอนว่าผิดอีกแล้ว...ตก แล้วเดี๋ยวมันก็มาอีก เหมือนกันมากเลยๆ สงสัยอีกแล้วๆ ลังเล '...เอ๊ ยังงั้นมั้ย อย่างงี้มั้ย ...อื้อ มันเป็นเรา เราเป็นมัน
หรือมันไม่ใช่ เราไม่มีเจตนาหรือมันเกิดเองรึเปล่า ...นี่มันไม่ได้เกิด
หรือแอบทำรึเปล่าวะ' ... งง อย่างนี้
มันจะค่อนข้างละเอียดอ่อน ประณีตขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ ไอ้อาจารย์ใหญ่ที่ออกข้อสอบ...มันช่างสรรหาข้อสอบ มีช้อยส์ให้เลือกมากมาย
จนกว่าเราจะฉลาดแจ้งชัดเลยว่า...ทุกปัญหาไม่มีปัญหา ... ก็ถ้ากูไม่กาข้อสอบ แล้วมึงจะมาให้กูผิดได้ยังไง นี่
ถ้ากูไม่กาข้อสอบแล้วมึงจะให้กูถูกได้ยังไง ...กูไม่สน กูรู้อย่างเดียว ข้อสอบตั้งอยู่บนโต๊ะ ก็อยู่บนโต๊ะ อย่างนี้ ...ไม่มีคนทำ
เพราะเราไม่เอาเกรด...สบายออก มันอยากออกข้อสอบ ก็มีคนอยากทดสอบเยอะไป ... ก็กูไม่สอบ ก็กูไม่เอาเกรด ไม่เอาความรู้ใดๆ ทั้งสิ้น เดินตัวเปล่า ไม่มีความรู้ติดตัว …เกิดเอง แก่เอง ตายเอง ไม่เห็นมีความรู้ติดเลย ...นี่ ใจ
เข้าถึงใจ อยู่ที่ใจ แล้วก็เป็นที่พึ่งสุดท้ายไว้ที่เดียว...เอกังจิตตัง
แต่ตอนนี้เรียนรู้ก่อนจนกว่าจะเข้าใจ
แล้วจะเห็นว่าข้อสอบก็คือข้อที่หลอกทั้งสิ้น ไม่ว่าถูกหรือผิด ... เพราะนั้นถ้ายังมีถูกมีผิด แสดงว่าขณะนั้นต้องมีความสงสัยเป็นธรรมดา
จนกว่าไม่มีถูกไม่มีผิด เมื่อนั้นไม่มีความสงสัยในข้อสอบ ...เพราะไม่เห็นว่ามันเป็นข้อสอบ
เห็นเป็นแค่กระดาษแล้วก็มีแค่ตัวหนังสือ หรือ กระดาษเปล่าแล้วก็เส้นยิกๆๆ ...ไม่อ่านก็ไม่มีความหมาย
ถ้าอ่านก็มีความหมาย
ถ้าเป็นผู้อ่านแล้วเข้าใจความหมายและไม่มีความหมายในที่นั้น
ก็อ่านไปเถอะ จะตอบก็ได้ ไม่ตอบก็ได้ ...เพราะนั้นทำก็ทำไปงั้นๆ แหละ ไม่ได้ตามเขาว่าหรือเขาบอกว่า
หรือไม่ทำก็ไม่ทำเลย
แต่พวกเรานี่อ่านปุ๊บ จะว่า...ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้ความหมาย เอ๊ จะเอายังไงกับมันดีวะ พอเข้าไปรู้ความหมายกับมัน กูก็เสร็จมันทุกที พอจะถอยออกมาก็ไม่รู้อีกว่า
มันคืออะไร ความหมายนี้มีจริงรึเปล่า
เนี่ย จนกว่าจะเข้าใจว่า
กระดาษคือกระดาษ เส้นขีดเขียนคือเส้นขีดเขียน ความหมายคือความหมาย อือ อย่างนี้แจ้ง ...เข้าใจคำว่ารู้แจ้งมั้ย ไม่สงสัยในกระดาษ
ไม่สงสัยในเส้นที่ขีดเขียน ไม่สงสัยคนที่เขียน ไม่สงสัยในภาษา
ตัวหนังสือที่สละสลวยหรือหวัดหรือบรรจง
ก็หมดซึ่งความเข้าไปยินดียินร้ายในกระดาษ
ในตัวหนังสือ ในอาการของหนังสือที่สละสลวย หรือหวัดหรือบรรจง แล้วก็ไม่สงสัยในคนที่เขียนหนังสือ อย่างนี้เรียกว่ารู้จริง
รู้หมด
รู้แจ้งแทงตลอด แยกส่วนสัดส่วนออกได้ชัดเจนว่าอะไรคืออะไร ...แล้วก็จะเห็นว่าอะไรคืออะไร...นั่นคือไม่มีอะไร เพียงแต่เป็นการเข้ามาสุมหัวรวมตัวกัน
เพื่อล่อหลอกให้เราลุ่มหลงและไม่เข้าใจ แค่นั้นเอง
เพราะนั้นอาการของโลกคือการสุมหัวรวมกัน
หรือว่าการปรุงแต่ง ความปรุงแต่ง...ได้ทั้งรูปธรรมและนามธรรม รูปขันธ์นามขันธ์
ในลักษณะที่เรามองเห็น นี่คือส่วนใหญ่ของการปรุงแต่งของรูปขันธ์หรือธาตุขันธ์
ส่วนที่จับต้องไม่ได้ เป็นเสียง
เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นธรรมารมณ์ ลักษณะนี้ก็เป็นการที่มีส่วนประกอบระหว่างรูปธรรมนามธรรมที่ลดหลั่นกันไป
รูปน้อยบ้าง นามมากบ้าง มีรูปชัดเจนบ้าง นามไม่ชัดเจน รูปชัดเจนกว่านาม
นามชัดกว่ารูปบ้าง จนถึงการปรุงแต่งของมนุษย์นั่นก็คือรูปขันธ์นามขันธ์
คือขันธ์ห้า หรือขันธ์สี่ ขันธ์สาม ขันธ์สอง
ขันธ์หนึ่ง ของเทวดาอินทร์พรหม ก็คือการปรุงแต่งของนามธรรม อันนั้นไม่มีรูปธรรม
แต่มีแต่นามธรรม เห็นมั้ย
เป็นเรื่องของความปรุงแต่งทั้งสิ้น
นั่นแหละ ที่อุปมาว่าเป็นอาการเขียน หวัดแกมบรรจง
หรือว่าตั้งอกตั้งใจคัด หรือว่าสละสลวย หรือว่าเป็นภาษาที่อ่านไม่ออกเลย เปรียบมันก็เป็นแค่อาการของความปรุงแต่ง ในลักษณะที่แตกต่างไปตามเหตุและปัจจัย
ก็วันนี้โดนเมียด่า
กูก็เขียนแบบเหมือนคนเมาน่ะ ภาษามัน วันนี้อารมณ์ดี ก็เขียนสวย
นี่มันตามเหตุและปัจจัย มันไม่ใช่ว่าอะไรเป็นหลัก หาความแน่นอนกับมันไม่ได้
มันแล้วแต่ว่ามีอะไรมาปรุงแต่งปัจจัยนั้นมาเสริม มาแทรก มาสอด มาสนับสนุน มาตัดทอน
มันก็ทำให้อาการปรุงแต่งนั้นเปลี่ยนรูปลักษณะ หรือนามลักษณะ ให้ดูหยาบ ดูอ่อน
ดูกระด้าง ดูละเอียด ดูนุ่มนวล ดูประณีต ดูเหมือนเสมือนไม่มี จนถึงที่สุด ...ได้หมด
ก็คือความปรุงแต่งทั้งสิ้น
พระอรหันต์ พระอริยะ ท่านเท่าทันทุกความปรุงแต่ง
คือท่านเห็นหมดว่าทุกอย่างคือความปรุงแต่ง แล้วท่านจะไปมีปัญหาอะไรกับความปรุงแต่ง ...ก็ความปรุงแต่งมันมีชื่อมั้ยตามสมมุติ
มันมีนามมั้ยตามบัญญัติ มันมีชีวิตในตัวมันมั้ยในความปรุงนั้นๆ ...นั่นแหละ ปัญญา
ที่ให้รู้ตัวทั้งหมดนี่...เพื่อให้เข้าไปเห็นถึงที่สุดของความเป็นจริง
ว่าคือความปรุงแต่งเท่านั้น ซึ่ง ซตพ.ได้ตรงนั้นที่เดียว อย่างที่เคยเรียนเรขาคณิต
สุดท้ายต้องมี ซ. ต. พ. ... ซึ่งต้องพิสูจน์
เพราะนั้นในการที่เราอยู่ในโลกทุกวันนี่ ถ้ามองแบบเงียบๆ ดูแบบเงียบนะ ไม่ทำไม่พูดอะไรนะ เจ็ดวันสิบวันสิบห้าวันสามสิบวัน
เจ็ดเดือน เป็นปี แล้วจะเข้าใจเลยว่าทั้งหมดคือความปรุงแต่งจริงๆ เว้ยเฮ้ย
ไม่มีอะไร เชื่อมั้ยล่ะ ไม่เชื่อ ลองดู ไม่ได้บังคับ ไม่ได้จ้าง ลองดูเอาเอง
ลองนั่งเฉยๆ รู้เฉยๆ เงียบๆ
กับทุกอาการ ไม่พูดๆๆ ปากพูดได้แต่ไม่พูดภายใน มือทำแต่ใจไม่พูด รู้ภายในเฉยๆ ลองดู
จะเข้าใจว่าอะไรคือความปรุงแต่ง
ก็จะเห็นว่าไม่มีอะไรที่ไม่ได้เกิดจากความปรุงแต่งเลย
แล้วที่สุดของความปรุงแต่งมันมีที่เดียวกัน คือความดับไป
ไม่มีอะไรวิเศษพิสดารกว่านั้นหรอก ไม่มีอะไรวิเศษวิโสพิสดารมากกว่าความดับไปหรอก
สุดท้ายก็คือไม่มีอะไรสูงสุดกว่าความดับไปเป็นธรรมดา นั่นแหละคือความงามสูงสุด พระอริยสาวกท่านงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด
จนถึงที่สุดท่านถึงว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวไม่มีตน มีความดับไปเป็นธรรมดา
คือที่สุดของอนัตตา จึงงามในที่สุด
นั่นน่ะเป็นความงามในที่สุดของการดับ หรือการตาย จนใจท่านก็งามในที่สุดคือดับจากความหมายมั่นในรูปในนาม ทั้งหลายทั้งปวง ...จึงเรียกว่าดับขันธ์
ค่อยๆ ทำไปนะ อย่าขี้เกียจ
อย่าขี้คร้าน ขยันรู้...รู้นิดก็เอานิด รู้หน่อยก็เอาหน่อย แต่อย่าทิ้งรู้
อย่าปล่อยปละละเลย
(ช่วงท้ายนี้พูดเกี่ยวกับกระแสที่ลือกันเรื่องโลกแตก)
โยม – พระอาจารย์ครับ
มันจะเกิดอะไรขึ้นน้อ
พระอาจารย์ – อย่าไปถาม
บอกแล้วว่าอย่าคิดถึงอนาคต อย่าห้อยกับอดีต
โยม (อีกคน) –
แต่มันเป็นประเด็นที่แบบเคยรู้มา ครูบาอาจารย์องค์ไหนพูดแล้ว โอ้โห
เอามาต่อเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์
พระอาจารย์ – บอกให้ก็ได้... ตายแน่
ตายหมดโลกแหละ ไม่มีใครไม่ตายหรอก
โยม – (หัวเราะกัน) ...แม่นมาก
พระอาจารย์ – เกิดมาตายหมด
ไม่เห็นมีใครอยู่น่ะ ... เราดูแล้ว เท่าที่ญาณทัสสนะได้หยั่งลงไป (หัวเราะกัน)
เห็นว่าตายทั้งโลกเลย
โยม – เขาเอามาเขียนกันแบบ มีภาค 1
ภาค 2 เลย
พระอาจารย์ – อือ
นั่นแหละคือความปรุงแต่ง คือสังขาร เพราะนั้นถ้าเราไปไขว่คว้าผูกพันกับสังขารปรุงแต่งในอดีตอนาคต จิตจะเกิดเวทนาตามมา ความหมายมั่นในเวทนาหรือเวทนาขันธ์ อุปาทานในเวทนาก็ตามมา
ความเป็นภพเป็นชาติก็จะเกิด ...ความยึด ความผูก ความพัน ความข้อง
ความเข้าไปมีเข้าไปเป็นในมันก็จะตามมา
ฆ่าให้ตาย ขายให้ขาด ...ฆ่าได้ไม่ผิดศีล
คือฆ่าความคิด ฆ่าอดีต...ฆ่าได้ ไม่ติดคุก ฆ่าอนาคตยิ่งดี สบายดีออก อยู่แบบชิวๆ
ใครว่ายังไง...ดี ใครไม่ว่ายังไง...ก็ดี ฮึ ...ไอ้คนพูดทำนายก็ตาย
คนฟังคำทำนายก็เห็นว่าตาย คนฟังเอง สงสัยไปสงสัยมา...กูก็ตายเหมือนกันว่ะ
เป็นแต่ว่าใครตายก่อน ใครตายหลัง ใครตายก่อนก็มาเกิดก่อน ใครตายหลังก็มาเกิดทีหลัง ใครตายก่อนก็เกิดเป็นผู้สูงอายุก่อน ใครตายที่หลังก็มาเกิดเป็นเด็กให้เขาข่มขู่กันต่อไป
เราเห็นอยู่แค่นี้
เราไม่เห็นความจริงอื่นนอกจาก เกิด...เป็นทุกข์
ตั้งอยู่...เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา...เป็นทุกข์ แล้วก็ตาย...เป็นทุกข์ เห็นอยู่แค่นี้ ...อย่าไปเห็นนอกจากนี้ เห็นนอกจากนี้แล้วฟุ้งซ่าน ข้อง สงสัย หลากหลายความเห็น
หงุดหงิด กลัว
บอกแล้ว ต่อให้เขาแตกถล่มทับลงต่อหน้า
แล้วกำลังมาก้อนเท่าภูเขามาทับนี่ เหอะๆ สบาย ยินดีๆ เป็นธรรมดา นั่นน่ะ ...ช่างมัน
ยอมรับในความจริงที่ปรากฏ นั่นน่ะคือผู้ที่ไม่หวั่นไหวในธรรมทั้งปวง
เอ้า ไป ...พอ
...............................