พระอาจารย์
4/3 (540510A)
10 พฤษภาคม 2554
พระอาจารย์ – จนกว่ามันจะเข้าใจว่า...ทั้งหมดที่จิตรับรู้น่ะ...มันเป็นธรรม
ทั้งหมดเป็นธรรม อะไรก็เป็นธรรม ตาเห็นรูปก็เป็นธรรม
หูได้ยินเสียง เสียงที่ปรากฏก็เป็นธรรม ใจที่คิด ความคิดก็เป็นธรรม อารมณ์ก็เป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม ... ธรรมแปลว่า ความทรงอยู่
ไอ้ที่ไม่เป็นธรรมก็คือ...เราไปเดือดร้อนกับธรรม
ดิ้นรน กระวนกระวาย กระสับกระส่าย
กระเสือกกระสน ต่อต้าน รักษา หวงแหน ... พวกนี้เกินธรรม...เป็นความรู้ที่เกินธรรมที่ปรากฏ
อยู่ด้วยปัญญา ... ถ้าอยู่ด้วยปัญญาแล้วไม่ต้องอดทน
ถ้าไม่มีปัญญาก็ต้องอยู่ด้วยความอดทนไปก่อน...ด้วยขันติ
จนกว่ามันเข้าใจ ฉลาดขึ้น...ว่าโลกกับธรรมมันเป็นอย่างนี้ ...เราตายไปแล้ว โลกก็ยังเป็นอย่างนี้ มันไม่เปลี่ยนไปไหนหรอก
มันแก้อะไรไม่ได้ หนีไม่ได้ด้วย ...นี่โลกภายนอก โลกใบใหญ่
แล้วโลกภายใน คือขันธ์ นี่โลกใบเล็ก ...โลกใบเล็กก็อยู่ในโลกใบใหญ่
ก็เป็นธรรมอันหนึ่งเหมือนกัน ถ้าพูดเป็นภาษาก็เรียกว่าธรรมภายในกับธรรมภายนอก
ที่มันเดือดร้อน กระวนกระวาย กระสับกระส่ายทุกวันนี่
เพราะใจมันไม่มีปัญญา มันอยู่กับธรรมมันอยู่กับโลกนี่...แต่ไม่เห็นว่าเป็นธรรม
ไม่ยอมรับความเป็นธรรม ด้วยใจที่เป็นธรรม หรือว่ายุติธรรม หรือว่าเป็นกลาง
เพราะนั้นน่ะ ต้องยุติกับธรรมนั้นๆ
จึงจะเป็นกลาง ... ยุติคือหยุด ไม่ไปไม่มา ไม่ซ้ายไม่ขวา ไม่หน้าไม่หลัง ไม่เลือก
อยู่กับมัน ... ต่อให้มันจะเป็นยังไงก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ ... ไม่ใช่ให้ความอยากหรือความไม่อยากเป็นตัวกำหนดวิถี
ไม่งั้นน่ะ...ไม่จบ
เหมือนคนพเนจรไปในโลกน่ะ
สองเท้าก้าวไป มันก็เดินไปได้ในโลกนี้ ...ไปไหนล่ะ มันก็ไปวนไปวนมาในโลกนี้
มีทางเดินมันก็ไปได้นะในโลกนี้ ... มันก็ดูเหมือนแตกต่าง
แต่ไปไหนมันก็กลับมาที่เก่าอ่ะ โลกนี่ ... มันวนอยู่ตรงนี้ มันไม่ไปไหน ไม่มีอะไรใหม่หรอก
สุดท้ายก็กลับมาเหมือนเดิมนั่นแหละ
พระพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่ใช่ทาง...ไม่ใช่ทางไปของพระอริยะ
มันเป็นทางไปของสามภพ มันก็วนอยู่นั่นแหละ
ถ้ายังไม่ยอมหยุด แล้วก็อยู่ในองค์มรรค...คืออยู่ด้วยความเป็นกลางกับทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏ
ไม่แก้ไม่หนี ไม่เข้าไปมีปัญหา
ไม่เข้าไปมีเงื่อนไขกับอะไร ไม่ว่าสัตว์ ไม่ว่าบุคคล
หรือว่าไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล
ได้น้อยก็เอาน้อย ... ปัญญาน้อยก็ทำความเข้าใจกับมัน
แล้วก็สะสมปัญญาไปเรื่อยๆ จนเห็นว่า
เหมือนกันหมดแหละ เป็นธรรมอันเดียวกัน ...เปลี่ยนที่หน้าตาตัวตน สถานที่ ... ดูเหมือนเปลี่ยน
ดูเหมือนไม่ใช่ ดูเหมือนแตกต่าง แต่ด้วยปัญญาที่มันร้อยเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
ก็จะเห็นเป็นธรรมอันเดียวกันหมดแหละ
คือเป็นโลก ...เป็นอยู่อย่างนี้
มันเป็นอยู่อย่างนี้ มันเป็นมาตั้งแต่ตั้งโลกตั้งฟ้าตั้งแผ่นดินมานี่
ความเป็นสัตว์ความเป็นบุคคลปรากฏขึ้น กิเลสก็อาศัยครอบครองอยู่ในสัตว์บุคคลนั้นๆ ...ก็แสดงอาการไปต่างๆ นานา ด้วยความไม่รู้ มันก็มีการเบียดเบียนกัน
กระทบกระทั่งกัน ด้วยคำพูดวาจา กริยาอาการภายนอก
เป็นเรื่องปกติของโลก ... เพราะในโลกนี่มันไม่ใช่คนส่วนใหญ่เป็นพระอรหันต์
ไม่ใช่ยุคพระศรีอาริย์
ในยุคนี้ไม่ใช่ยุคของพระศรีอาริย์ ...เป็นยุคของพระสัมมาสัมพุทธโคดม เป็นยุคที่กลียุค วุ่นวี่วุ่นวาย เร่าร้อน ...ยุคต่างกัน
เพราะนั้นนี่เรามาเกิดในช่วงนี้
ยุคนี้ สมัยนี้ ในห้าพันปีนี้...จะต้องเจอโลกที่เป็นอย่างนี้ กลียุค ความคิดแตกต่าง การกระทำหลากหลาย
ตามความเชื่อความเห็น เราไม่ได้เกิดในยุคของพระศรีอาริย์ ในยุคพระศรีอาริย์โลกก็เป็นอีกแบบนึง
ไม่ใช่โลกเป็นแบบนี้ ...มันก็ต่างกัน
เพราะนั้นหนีไปไหน
หนีไม่ได้หรอกในยุคนี้ ... เมื่อหนีไม่ได้จะหนีทำไม หนีไปไหน ทำอะไร ไม่ทำอะไร ไม่หนี ไม่แก้ อยู่กับมันด้วยปัญญา
เพราะพระพุทธเจ้าในยุคนี้สมัยนี้
ท่านเป็นปัญญาธิกะ ... ปัญญาธิกะ คือบำเพ็ญด้านปัญญาโดยตรง เพราะนั้นหลักธรรมที่สามารถจะอยู่ได้ในโลกยุคนี้สมัยนี้
คือต้องอยู่ด้วยปัญญา ด้วยความรอบรู้เข้าใจมัน...แล้วถอยห่างออกมา
ไม่ใช่เราไปผลักให้เขาห่างจากเรา
เราน่ะต้องถอยห่างออกมา ... แต่ไม่ได้ห่างด้วยกายวาจา แต่ห่างด้วยใจ เอาใจออกห่าง
ห่างยังไง ...พระพุทธเจ้าให้อุบายวิธีไว้แล้ว
หลักการมี คือสติระลึกรู้ในทุกสิ่งที่ปรากฏ
อะไรเกิดขึ้นรู้ ถ้าไม่รู้ล่ะมันเข้าไปแนบกัน
เข้าไปเกลือกกลั้วกัน เข้าไปมีในมัน
มันมามีอยู่ในเรา
เพราะนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วรู้
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้ นี่
ให้อยู่ตรงนั้น...ให้อยู่ที่รู้ ให้อยู่ด้วยรู้ ไม่ได้อยู่ด้วยความไม่รู้ ถ้าอยู่ด้วยความไม่รู้ มันก็โลกเต็มๆ น่ะ กลายเป็นโลกของเราไปแล้ว
เรากับโลกเป็นอันเดียวกัน ...ก็ทุกข์สิ
เพราะนั้นจะอยู่กับโลกยังไง ...ก็อยู่ด้วยความรู้
อยู่กับรู้ รู้อยู่กับโลก จนกว่าจะเห็นโลกนั้นเป็นธรรม ... ธรรมอะไร
ธรรมคืออะไร ธรรมไม่มีคำพูด
ธรรมคือความเป็นจริง ความเป็นจริงคืออะไร ความเป็นจริงในโลกก็คือไตรลักษณ์นั่นแหละ
จึงอยู่กับไตรลักษณ์...ด้วยความที่ว่าเป็นธรรมเดียวกัน
ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล มีแต่ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา
คาดไม่ได้ เดาไม่ได้ หวังมันไม่ได้
พึ่งมันไม่ได้ อาศัยมันไม่ได้ เอามาเป็นที่ยึดที่ถือไม่ได้ ...ก็ต่างคนต่างอยู่ไป
มันแยกออกจากกัน
เข้าไปอีก รู้อีก ...โง่อีกแล้ว
เริ่มโง่อีกแล้ว รู้ไว้เลย จิตมันโง่
มันชอบหาเรื่อง มันชอบมีเรื่อง มันชอบไปมีเรื่องกับโลก
มันชอบจะไปเจ้ากี้เจ้าการกับโลก มันชอบจะเข้าไปจัดการโลก เหมือนกับเป็นธุระของมัน
เหมือนกับเป็นหน้าที่ของมัน นี่ มันคือความไม่รู้
คือเหมือนจะเข้าไปแก้มัน เหมือนจะทำให้มันสมบูรณ์
จะทำให้มันดีขึ้น ไปทำให้มันเป็นระเบียบขึ้น ...ไปอยู่ในสังคมไหนก็จะต้องให้สังคมนั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ไปอยู่กับกลุ่มคนไหนก็จะต้องให้กลุ่มคนนั้นต้องเป็นคนอย่างนั้น
ต้องเป็นนิสัยอย่างนี้
นี่ ใจมันมีความต้องการ ความอยากจะเข้าไปแก้ไข
ชอบเข้าไปแก้ไข ... เมื่อแก้ไม่ได้ก็เดือดร้อนตัวเองสิ เพราะมันแก้ไม่ได้ สุดท้ายก็คือเดือดร้อน
แต่ถ้าอยู่ด้วยปัญญา ก็ว่ากันไปตามเหตุปัจจัยนั้นๆ
จนมองเห็นว่าไม่มีการกระทำของใคร
ไม่มีชื่อ ไม่มีเสียง ...เป็นแค่รูปนามหนึ่งประกอบกัน
เป็นเรื่องการกระทำของรูปหนึ่งนามหนึ่ง เท่านั้นแหละ ไม่เป็นใครอะไรทั้งสิ้น ไม่เป็นไปตามบัญญัติสมมุตินั้นๆ
เป็นแค่รูปธรรมกับนามธรรม
แล้วรูปธรรมกับนามธรรมนั้นมีเหตุปัจจัยของกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อน
...เมื่อมีเหตุของกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อน
การกระทำออกมาก็เป็นอย่างเนี้ย มากบ้างน้อยบ้าง
ดีบ้างเลวบ้าง ตามความหมายต่างกันไป
อยู่ที่ไหนไม่ได้ อยู่ที่ไหนไม่ดี ให้อยู่ในที่อันเดียว คือที่ใจ ... หาใจให้เจอ
กำหนดใจให้เจอ ด้วยสติ แล้วก็แยบคายลงไป เพราะว่าใจมันมีอยู่ตลอด เมื่อมีสติ
ไม่ใช่ว่ากำหนดสติไปก็ไม่รู้ว่ากำหนดไปทำอะไร
กำหนดไปเพื่ออะไร รู้ตัวไปทำไม ...ก็ได้แต่ความรู้ตัวโดยไม่เข้าใจ ไม่แยบคาย
ไม่โยนิโสมนสิการ ...มันก็ไม่เข้าใจ มันก็ไม่เกิดปัญญา
เพราะนั้น สติ การรู้ตัว
การกลับมารู้กับปัจจุบันนี่ เพื่อให้แยกให้เห็น โยนิโสให้เห็น...ว่ามันมีสองอาการในขณะนั้น ... รู้เป็นอาการหนึ่ง
สิ่งที่ถูกรู้หรือขันธ์คืออาการหนึ่ง
ชีวิตอยู่ที่ไหน แยบคายลงไป ... มันก็จะเห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น
ว่าขันธ์มันเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ขันธ์มันเป็นแค่สิ่งหนึ่ง ... ชีวิตอยู่ที่รู้ เหตุทั้งหลายทั้งปวงน่ะเกิดที่นั่น ถ้าจะเข้าไปละเหตุ
ดับเหตุทั้งหลายทั้งปวง ต้องเข้ามาดับที่ใจ
อย่าไปดับที่ตา อย่าไปดับที่รูป อย่าไปดับที่หู
อย่าไปดับที่เสียง อย่าไปดับที่กลิ่น ที่รส ที่อากาศ เย็นร้อนอ่อนแข็ง หรือความคิด
อารมณ์ ความสุข ความทุกข์ ...ดับไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรม
เป็นธรรมชาติที่ไม่ได้เป็นของใคร ไม่ได้อยู่ในอำนาจของใคร
ต้องกลับมาดับที่เหตุ ... เหตุคืออะไร
เหตุคือใจ แต่ใจดวงนี้มันยังมีเหตุภายในที่ประกอบด้วยความไม่รู้
ให้ดับความไม่รู้นั้นซะ ... ไม่รู้ยังไง ไม่รู้ว่ามันไม่เที่ยง ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์
ไม่รู้ว่ามันแปรปรวน ไม่รู้ว่ามันหาความเป็นตนเป็นตัวไม่ได้ในสรรพสิ่ง เนี่ย ต้องดับที่เหตุนั้น
เพราะเมื่อไม่รู้เมื่อไหร่ว่ามันไม่เที่ยง
เมื่อไม่รู้ว่ามันไม่มีตัวไม่มีตนที่แท้จริง เมื่อไม่รู้อย่างนั้น มันจะเป็นยังไง ...มันก็มีแต่ความอยากกับความไม่อยากออกมา
เป็นมือเป็นเท้าของมัน เป็นเครื่องมือของกิเลส เป็นเครื่องมือในการที่จะไปแสวง
ไปหา ไปจัดการ ไปแก้ไข
ก็ต้องแก้ตรงจุดนั้น ด้วยการเท่าทัน ...แล้วละความอยาก ความไม่อยาก ความยินดี
ความยินร้าย ความรับไม่ได้ ความตั้งใจจะให้มันเป็นอย่างนั้น จะให้มันเป็นอย่างนี้
สอบทานลงมาให้เห็นถึงจุดนั้นให้ได้...ที่ใจ...ที่มันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่ภายในนั่นแหละ
มันเริ่มจากจุดนั้นก่อน ...ก่อนที่จะเกิดความคิด
ก่อนที่จะเกิดอารมณ์ ก่อนที่จะเกิดความหมายมั่นในอดีตอนาคตน่ะ
มันจะมีจุดเริ่มต้นของมัน
พยายามสอบทานลงมาบ่อยๆ ภายใน ...มันไม่อยู่ที่ไหนหรอก มันอยู่ภายในนี้แหละ ทุกคนน่ะ
อยู่ภายในตัวนี้แหละ ...จนกว่าจะเท่าทัน จนกว่าจะชัดเจน จนกว่าจะแจ้ง
จนกว่าจะไม่เผลอ ไม่หลง จนกว่าจะไม่มีอาการเข้าออก …เมื่อนั้นแหละ จะอยู่กับโลกโดยที่ไม่มีปัญหา
โลกก็ไม่มีปัญหา ...แล้วก็ไม่มีเราไปมีปัญหา มีแต่รู้อย่างเดียวกับสิ่งที่ถูกรู้
... แต่ถ้าตราบใดที่ยังตามกิเลสออกไป โดยมีข้ออ้าง โดยมีความเชื่อ โดยมีความเห็นเป็นตัวรับรอง
เป็นตัวชี้นำ ให้รู้ไว้เลยว่า...ทุกข์อุปาทานจะตามมา
แรกๆ อาจจะหลอกว่าดี แรกๆ
อาจจะบอกว่าใช่ ไปๆ มาๆ
สุดท้ายก็เหมือนเดิม เท่าเก่า ไปที่ไหน
แรกๆ ดูดี สุดท้ายเหมือนเดิม ... ทุกข์เหมือนเดิม
ไม่จำ...มันไม่จำ อาการนี้น่ะไม่จำ มันจะไปจำแต่อาการที่เป็นทุกข์ คนนั้นคนนี้มันน่าจะทำอย่างนั้น
มันไม่น่าจะทำอย่างนี้ เนี่ย จำได้จำดีจัง
หาเรื่องจำ แต่ไอ้ผลของการกระทำที่เกิดทุกข์นี่ ไม่รู้จักจำ
มันไม่เข็ด...มันไม่จำ มันไม่เข็ด มันก็เลยไม่เกิดความเบื่อหน่ายคลายออก
หรือนิพพิทาจากการหมุนวนไปกับกระแสของโลก หรือหมุนวนไปตามกระแสของโลก ...มันเลยไม่รู้จักหยุดจักอยู่ซะที
ก็ต้องอาศัยพยายามน้อมนำจิตกลับมาภายในบ่อยๆ
ให้มันตั้งมั่นอยู่ภายในรู้ ... จึงเอาความรู้ตัวนี่เป็นอุบาย จนกว่าใจมันจะตั้งมั่นไม่วอกแวก ไม่เล็ดลอดออกไป
จนมันอยู่ในที่อันเดียว ...ที่ไหนไม่รู้อ่ะ
แต่มันมีที่เดียวตรงปัจจุบันนั่นน่ะ ภายในนั่นน่ะ ถ้าอยู่ได้อย่างนั้นน่ะ สังเกตดูสิ
มันไม่มีหรอกทุกข์
จะไปหาอะไร พอเริ่มจะหาอะไร ทันอีก...ไม่หา พอจะเอาอะไร...ทันอีก...ไม่เอา แล้วดูซิ ตรงนั้นน่ะ มันดีกว่าในการหา
ในการเอามั้ย ... ให้จำ...ให้จำ สติมันจะต้องจดจำสภาวะ เกิดปัญญาขึ้นมาด้วยการจดจำสภาวะได้
รู้เพื่อให้จดจำสภาวะ...มันจะได้ไม่โง่อีก สติที่แท้จริงน่ะ
ไม่งั้นก็จะทำผิดซ้ำซาก
ผิดไปตามกระแส...ที่มันเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปเรื่อย...ความอยาก มีข้ออ้างให้มันเรื่อย เป็นธรรมมั่ง
ไม่เป็นธรรมมั่ง ดีกว่ามั่ง ละเอียดกว่ามั่ง ประณีตกว่ามั่ง เร็วกว่ามั่ง
ตรงกว่ามั่ง ใช่กว่ามั่ง นี่พวกนี้
มันจะเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตามา ดึงให้เราไหลออกไปตามกระแสความปรุงแต่งตามความอยาก-ไม่อยาก
มันก็ปรุงแต่งให้สวยหรูขึ้นมาภายใน
เอาเรื่องธรรมมาเป็นบรรทัดฐานอ้างไปอ้างมาอยู่นั่น ...ไม่เอา ไม่เอา ธรรมะธรรมแมะก็ไม่เอา ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่เอา
กุศลก็ไม่เอา อกุศลก็ไม่เอา มีอย่างเดียวคือเอารู้ในปัจจุบัน
รู้เปล่าๆ ในปัจจุบันนั่นแหละ รู้ตัว
รู้ตัวเฉยๆ นั่นแหละ
อย่าไปเบื่อ อย่าไปหน่าย อย่าไปเซ็ง
อย่าไปขี้เกียจ อย่าไปหาอะไร อย่าไปอยากได้อะไร อย่าไปอยากเห็นสภาวะอะไร ...
ไม่มีสภาวะอะไรหรอก ตาเห็นรูปก็มีแต่สภาวะในปัจจุบัน มันทำไมอยู่ตรงนี้ไม่ได้ เสียงนี่สภาวะปัจจุบัน ทำไมต้องเดือดร้อน มีให้ดูไม่ดูอ่ะ จะไปวิ่งดูอะไร หาอะไร
จะดูแต่ความเงียบ ความไม่มีอะไรหรือไง
ถ้าอยากดูความเงียบความไม่มีอะไร ไม่ยาก ...ไปขุดรูอยู่ไป๊
ไปขุดรูไว้ลึกๆ หาฝาปิด เจ็ดวันออกมา ...ไม่มีเสียง
ไม่มีรูป ไม่มีกลิ่น ไม่มีสัมผัส ไม่มีธรรมารมณ์ ให้มันตายอยู่ในรูนั้นน่ะ
มันทำไม่ได้ ... พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้แก้อย่างนั้น
ไม่ให้หนี ไม่ใช่จะไปผูกจับจองเป็นเจ้าของ ว่าใจของกูจะต้องไม่มีอะไร ... ก็บอกว่าใจไม่ใช่ของกู
ใจไม่ใช่ของเรา จะไปบอกมันได้มั้ย ว่าต้องเลือกให้ได้อย่างนั้น ให้ได้อย่างนี้ ...ใครที่มันบอกให้เลือก
นั่นแหละ ปัญหามันอยู่ตรงนั้น
ใจไม่มีปัญหา ...มีเสียงมันก็ได้ยิน
มันห้ามไม่ได้ มีรูปของสัตว์บุคคลปรากฏก็ต้องเห็น
มันห้ามไม่ได้ ... หนีมากก็ไปขุดรูอยู่ไป๊ อยู่ไม่ได้ พอไปอยู่ในรูก็หงุดหงิดตัวเองอีก เอ้า ไม่เห็นมีอะไรให้ดูเลย อยากดูอีกแล้ว อยากได้สภาวธรรมใหม่อีกแล้ว มันไม่รู้จักพอ
หยุด จนยุติธรรมน่ะ จนธรรมนั้นยุติ ธรรมภายในก็ยุติ ภายนอกก็ยุติ ยุติที่จะเป็นอดีตอนาคต แล้วถึงจะรู้ว่าแต่ก่อนกูนี่บ้าจริงๆ ...โง่
จะได้รู้ว่าตัวเองโง่ ไม่ใช่ไปมองแต่คนอื่นโง่ แต่เห็นว่าตัวเราน่ะโง่ จิตน่ะโง่ งมงาย โง่งม
มัวเมาไปตามสัญญาอารมณ์ ไปตามความยินดียินร้าย ไปตามความเห็น ไปตามความคิด
ตามความเชื่อ มันปั่นหัวเราอยู่ตลอด
กิเลสน่ะมันเป็นตัวผลักไสขับเคลื่อน ...ตอนนี้ กายวาจาใจทั้งหมด มันขับเคลื่อนออกมาด้วยอำนาจกิเลส ความไม่รู้ทั้งสิ้น ...ไปตามมันได้ยังไง
คิดก็ไม่เอา ให้มันตายไปเลย ให้ความคิดตายไป
ความเห็นมันตายไป อย่าไปเสียดายมัน
อย่าไปกลัวมันตาย อย่าไปเลี้ยงมัน
อยู่กับใจเปล่าๆ กับกายเปล่าๆ
เสียงเปล่าๆ รูปเปล่าๆ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ... คิดนั่น คิดนี่ คิดโน่น คิดเล็ก คิดน้อย
คิดมาก คิดหยาบ คิดละเอียด มีแต่คิดๆๆๆ
คิดไปทั่ว อะไรก็ไม่รู้ความคิด ไปเชื่อมันเป็นตุเป็นตะ
กลับมาหยุดให้ได้ ด้วยการรู้ตัว แล้วให้สังเกต รู้อันหนึ่ง ตัวอันหนึ่ง อยู่แค่นั้นแหละ
แล้วก็ให้แยบคายกระจายออกมาในรู้อันหนึ่งกับเสียงอันหนึ่ง
แล้วก็รู้อันหนึ่งกับรูปอันหนึ่ง รู้อันหนึ่ง-ยินดีอันหนึ่ง
รู้อันหนึ่ง-ยินร้ายอันหนึ่ง มันจะแยกออกมาเป็นสองส่วน เสมอกันหมด แล้วมันจะค่อยๆ
ธรรมนี้จะกระจายออก
ร้อยรวมกัน แม่น้ำร้อยสายล้านสายในโลกก็รวมลงในมหาสมุทรเดียวกัน
เป็นธรรมเดียวกัน เนื้อความเดียวกัน กฎเดียวกัน ก็จะเห็นธรรมชาตินี่อยู่ภายใต้เงื่อนไขกฎเดียวกันเลย
คือกฎของไตรลักษณ์ ไม่มีเล็ดรอดไปจากนี้เลย
มีอะไรที่ไม่ดับ มีอะไรที่ไม่แปรปรวน
มีอะไรที่มันมีความเป็นตัวเป็นตน ... ทุกอย่างที่เห็นมันมี
มันตั้งอยู่นี่ ...อะไรมันตั้งอยู่ อะไรตั้งอยู่ในมัน มันตั้งอยู่บนอะไร มีอะไร มันมีความเป็นตัวเป็นตนของมันมั้ย เนี่ย เสียง รูป กลิ่น รส ความคิด อารมณ์เหมือนกัน
มันตั้งอยู่บนอะไร ตัวมันคืออะไร
ตัวมันยังไม่รู้ว่าตัวมันคืออะไรเลย ... นั่นน่ะ อนัตตา
หลับแล้ว...(ทักโยมคนฟัง) ...ง่วง
รู้ว่าง่วง รู้เข้าไว้ อย่าไปคล้อยตามมัน อ่อนไปตามมันน่ะ มันซึม หาย กลืนกันน่ะ เห็นมั้ย เวลามันกลืนนี่มันหายไปแล้ว
ใจน่ะมันหาย เพราะมันถูกกลืนกิน
สติอ่อน ปัญญาอ่อน สมาธิอ่อน มันจะกลืน ขันธ์นี่
มันจะเข้าไปกลืนกับขันธ์ ...เข้าไปกลืนกับขันธ์น่ะคือไม่รู้ไม่ชี้อะไรแล้ว
เข้าเฝ้าพระอินทร์แล้ว รู้จักพระอินทร์มั้ย
นั่นฝัน อยู่ในฝัน
เวลาแต่ก่อนเราอยู่กับหลวงปู่
เวลาท่านพูด พระก็นั่งงับเงากันอยู่ งับๆๆ หลวงปู่บอกให้ลืมตาๆ มันก็ยังหลับหูหลับตางับอยู่นั่นแหละ มันกลัวอะไรกันนักกันหนาลืมตาขึ้นมานี่ นั่งสมาธิฟังเทศน์ลืมตาไม่ได้
มันเป็นโรคอะไร หรือว่าโรคที่ว่าสมาธิจะต้องหลับตา ขนาดหลวงปู่บอกให้ลืมตา มันยังไม่ยอมลืมตาเลยพระน่ะ
มันกลัวอะไร
มันขัดขวางการปฏิบัติธรรมรึไงในการลืมตาหลับตานี่ มันยึดอะไรกันนักกันหนา ท่านแก้ให้เห็น...ให้เห็นถึงเหตุของการตื่นขึ้น
จากความหลับใหล อย่าให้นิวรณ์ครอบงำ นิวรณ์น่ะคือความมัวเมา ความเศร้าหมอง
มันทำให้จิตไม่ตื่น
ไม่ตื่นคืออะไร หลับตา...เคยหลับตาเดินมั้ย
ลองหลับตาเดินดูสิเป็นยังไง มันจะเดินชน
ตกทาง หรือรถชนใช่มั้ย นั่นน่ะ
เหมือนกับจิตมันหลับ แล้วเราอยู่ด้วยความที่ว่าจิตหลับ จิตไม่ตื่น เนี่ยๆ เราลืมตาอย่างนี้ แต่จิตหลับน่ะ
มันไม่ตื่น มันไม่รู้
มันจะเดินไปได้มั้ยล่ะ
มันจะไปตามทางถูกมั้ยเนี่ย ใครเขาลากไปไหนก็ไปหมดแหละ ใช่มั้ย เหมือนคนตาบอดที่หมาจูงไป
หมามันพาไปบนกองกระดูกก็ไปกับมัน ไม่รู้เป็นอะไร เนี่ย เหมือนกับหลับตาเดิน มันไม่ตื่นน่ะ
แต่พอรู้ขึ้น นี่ ลืมตาเดิน เดินถูกนะ
ก็เห็นอยู่นะ นี่ต้นไม้ นี่ถนน นี่รถจะชน ก็ไม่ได้แก้ไขเขานะ ก็ไม่ได้ไปห้าม ...ก็ลืมตาอยู่จะโง่ไปชนเขาทำไม
แน่ะ ก็อยู่ได้กับโลก เดินไปในโลกได้โดยที่ไม่เดือนร้อน
ไม่เป็นทุกข์ ไม่เบียดเบียน ไม่ถูกเบียดเบียน
นี่แหละอานิสงส์ของการที่จิตตื่น
ตื่นรู้ขึ้นมา เหมือนลืมตาเดิน ... มรรคมันก็มีทั้งโลกนั่นแหละ
เดินไปไหนก็ได้ ...ก็มันลืมตาเดิน นี่อานิสงส์ของสติ
คือจิตให้ตื่นขึ้น...รู้
อะไรอย่าทิ้งรู้ อย่าให้มันไม่รู้ ทำด้วยความไม่รู้
ฟังด้วยความไม่รู้ มันจะถูกโมหะนี่ครอบคลุมครอบงำอยู่ เป็นนิจสินเลย คือเป็นนิสัยประจำของมนุษย์ ...อนุสัยน่ะ
พอเริ่มสบายๆ หน่อยก็เอาล่ะ เพลิน
เริ่มปล่อยเนื้อปล่อยตัว เริ่มหลับตาเดินอีกแล้ว หลับตาเดินแล้วไปไหนล่ะ ฝันเอา ไปในความฝัน
แต่คิดว่าจริง ...ฝันถูกบ้างฝันผิดบ้างก็ว่ากันไป
เหมือนซื้อลอตเตอรี่ ...เวลาเรามีความคิดหรือมีอารมณ์
แล้วเราทำไปตามความคิดหรือทำไปตามอารมณ์นี่ สมมุติว่ามันได้ผลนี่ ดีใจ ภูมิใจ เชื่อเลยว่าความคิดเราดี
ความเห็นเราดี ... เราบอกให้เลยว่าเหมือนซื้อลอตเตอรี่
ซื้อสักสิบครั้งร้อยครั้งนี่ บางครั้งก็ถูกครั้งเดียว บางครั้งก็ไม่ถูกเลย หาความแน่นอนไม่ได้ ใช่มั้ย
แต่พอถูกเข้าปุ๊บนี่ อู้หู มันยิ่งทุ่มทุนซื้อหมดตัวเลยเพราะกูเคยถูก
... มนุษย์มันเชื่อความคิดเหมือนซื้อลอตเตอรี่ มันเชื่อความเห็นของตัวเอง เพราะเข้าใจว่า เออ
มันเคยทำแล้วมันได้น่ะ มันได้ผลดีอ่ะ ...แต่มันไม่เคยจดจำเวลาที่มันไม่ได้ผล
เหมือนคนติดหวย มันเล่นอยู่นั่นน่ะ
ทั้งที่ถูกได้มาร้อยบาทดีใจ แต่ที่เสียไปเป็นพันเป็นล้านไม่เคยจำได้เลย ก็ยังงมงาย มัวเมา ...เห็นความงมงายมั้ย
มัวเมากับความคิด มันจริงจังอยู่นั่นแหละ
จนกว่าจะฉลาดขึ้นน่ะ ฉลาดเมื่อไหร่ ฉลาดก็เข้าใจว่า เออ
มันเป็นการเสี่ยงโชคน่ะ มันไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลอะไรเลย
ไม่ได้เป็นเรื่องของความจริงหรือว่าอะไรมารองรับเลย ถูกบ้างผิดบ้าง ก็เลยเลิกซื้อซะเลย สบายดี
นั่นน่ะ เมื่อไหร่ที่เราเข้าใจแล้ว
เราจะเลิกเชื่อความคิด เลิกเชื่อตามความเห็น เลิกทำตามความคิด เลิกทำตามความเห็น โดยเห็นว่าความคิดความเห็นก็เป็นแค่อะไรที่มันมาสะกิดขึ้นมา
ผุดโผล่ขึ้นมา ...หาสาระอะไรไม่ได้หรอก จริงจังไม่ได้
ก็สบาย
สามารถอยู่กับความคิดได้โดยที่ว่าเราเป็นผู้กำหนดความคิด
ไม่ใช่ว่าความคิดเป็นผู้กำหนดเรา ...ก็เห็นมัน เออ เดี๋ยวก็คิด...ก็ช่างมัน ไม่เชื่อมันแล้วเดี๋ยวมันก็ดับ ไม่เห็นต้องไปเดือดร้อนกับมัน
ไม่เห็นต้องไปยินดีกับมัน ไม่เห็นต้องไปยินร้ายกับมัน ไม่เห็นต้องตามมัน
ไม่ตามก็ไม่เห็นมันว่ายังไงนี่
ไม่เห็นความคิดมันเอามือเอาตีนมาถีบมาถองเรา...ลองไม่เชื่อมันดูสิ
ลองไม่ตามมันดูสิ
(ต่อแทร็ก 4/4)