วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 4/33 (1)


พระอาจารย์
4/33 (add540401C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 เมษายน 2554
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  อยู่แค่รู้ คิดอะไรไม่ออก แก้อะไรไม่ได้ กลับมารู้มันตรงๆ นั่นแหละ ...แล้วไม่เอาอะไร ไม่หวังผลอะไรทั้งสิ้น ...สติไม่หวังผลอะไรทั้งสิ้น

สติปัฏฐานแปลว่าการระลึกรู้ ...จิตมีราคะรู้ว่ามีราคะ จิตไม่มีราคะ รู้ว่าไม่มีราคะ  จิตมีโทสะรู้ว่ามีโทสะ  จิตไม่มีโทสะก็รู้ว่าไม่มีโทสะ ...ท่านไม่ได้ให้ทำอะไรเลยนะ

จิตหดหู่รู้ว่าหดหู่ จิตเศร้าหมองรู้ว่าจิตเศร้าหมอง จิตผ่องใสรู้ว่าจิตผ่องใส จิตมีความอยากรู้ว่ามีความอยาก จิตไม่มีความอยากรู้ว่าจิตไม่มีความอยาก ...เห็นมั้ย นี่คือสติปัฏฐานนะ

ไม่ใช่จิตมีโทสะ...รู้ว่ามีโทสะ...แล้วกูจะทำยังไงให้ไม่มีโทสะ ...ไอ้นี่เกินสติปัฏฐาน เป็นเรื่องของความไม่เท่าทันแล้ว เรื่องของความเห็นใหม่ขึ้นมาแทรกแล้ว ด้วยความหวังว่าจะมีภพใหม่ที่ดีกว่านี้...คือภพที่ไม่มีโทสะ 

นี่คาดเดานะ ดักนะ รอนะ ...แล้วถ้าไม่ได้นะ ทุกข์นะ ใช่มั้ย ดูกี่ทีกี่ทีมันก็ยังเกิด ดูกี่ทีก็ไม่เห็นมันดับ นี่หงุดหงิดแล้ว หงุดหงิดแล้ว ...นี่ไม่เรียกว่าสติปัฏฐาน เขาเรียกว่าเป็นสตินอกฐาน นอกฐานปัจจุบัน

ทำไมถึงบอกว่ามีอะไรก็รู้ตรงนั้น มีราคะรู้ ไม่มีราคะรู้ ราคะมากรู้ โทสะมาก..รู้ โทสะน้อย..รู้ โทสะไม่มี..รู้ ...ท่านให้ทำอยู่แค่นี้ เห็นมั้ย นี่มันเรื่องของปัจจุบันล้วนๆ

นั่น จึงจะเข้าใจ จึงจะเห็นความจริงมากขึ้นๆ และชัดเจนขึ้น ...ตาที่มืดบอด ตาที่สะลึมสะลือ ตาที่หลับๆ ตื่นๆ  มันจะได้ตื่นโพลงขึ้น แล้วก็จิตมันจะตื่นขึ้น

ตื่นอะไร...ตื่นรู้ตื่นเห็น ...อ๋อ เข้าใจแล้ว เห็น...ไม่มีอะไร ...ลืมตาแล้ว ลืมตาแล้วมันก็สว่าง มันก็แจ้ง มันก็ชัด ...ก็เรียกว่า อาโลโก จักขุง อุทปาทิ ญาณัง

ญาณก็เกิดขึ้น ทัสสนะก็แจ่มแจ้งขึ้น ว่าขันธ์คือขันธ์ ไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้เป็นของใคร เป็นธรรมชาติหนึ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเอง

นี่ สว่าง...มันเห็น ไม่ใช่ดำมืดตึ้บ มัวแต่งมปูงมปลาอยู่ในน้ำอย่างนี้ มันไม่เห็นอะไร ...มันจม


โยม –  แล้วถ้าอย่างเวลารู้ มันจะชอบคิด เหมือนมันสอนๆ ไป แล้วมันสว่างอย่างนี้ เราก็รู้ตามไปว่ามันสอน

พระอาจารย์ –  ใช่ มันอยู่ในอาการนั้น มันยังมีการวิพากษ์วิจารณ์  มันยังต้องมีการ ..เขาเรียกว่าเป็นค้อนตอกสิ่ว ถ้าไม่คิดช่วยมันไม่เข้าใจ ...เดี๋ยวต่อไปมันก็จะน้อยลงไปเอง 

ไอ้การคิดนำหรือว่าต้องคอยบอกคอยสอนมัน ต่อไปมันก็จะเข้าใจเองว่าไม่เห็นต้องบอกต้องสอนเลย แค่รู้แค่เห็นก็เข้าใจแล้ว มันก็ไม่จำเป็นต้องพูด ...มันจะค่อยๆ เงียบไป 

เงียบไปเรื่อยๆ เงียบจนสงบ เงียบจนวังเวง เงียบจนเหมือนกับเรียกว่าเป็นเอก...จิตเอก จิตวิเวก เงียบจริงๆ เงียบจากความปรุงแต่ง สงัดภายใน ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาเลย

นั่นแหละถึงเรียกว่าเอก เป็นจิตหนึ่ง  ถ้ามีสองมันก็มีความคิดออกมาคู่กับจิต ...แต่ถ้าจิตหนึ่งมีแต่จิตรู้อย่างเดียว ถึงเรียกว่าจิตเอก จิตหนึ่ง...มีแค่รู้หนึ่งเป็นธรรมเดียวกับสิ่งที่ปรากฏ

ไม่มีสองสามสี่ห้าหก เป็นความคิดความปรุงในสิ่งนั้นสิ่งนี้ ...มีแค่อะไรที่ได้ยิน อะไรที่รู้ เป็นธรรมหนึ่งจิตหนึ่ง เอกังจิตตัง เอโกธัมโม จิตหนึ่ง จิตเอก แล้วจะเห็นปัจจุบันนั้นไม่มี ...นั่นน่ะเหลือแต่จิตหนึ่ง       

โยม –  แล้วอย่างเราจะแยกยังไงคะ ระหว่างขี้เกียจกับเหมือนไม่...

พระอาจารย์ –  รู้ไปอย่างเดียว ไม่ต้องแยก รู้อย่างเดียว เอามันจนหายสงสัยน่ะ ...ถ้ายังสงสัยแสดงว่ายังรู้ไม่จริง


โยม –  แสดงว่ามันก็แค่สงสัยใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ใช่ มันเป็นแค่ความสงสัยเข้ามาแบ่งแยกเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปทำความแจ้งในอาการหรอก แค่รู้ว่าเป็นยังไงแค่นั้น ...อดีตคืออดีต อนาคตคืออนาคต ช่างหัวมัน

จะเรียกอะไรก็ได้ ไม่เรียกอะไรก็ได้ มันคือปรากฏการณ์เท่านั้น ...อย่าไปใส่ชื่อเจ๊กชื่อจีนให้มัน หรือว่าต้องไปเข้าใจว่าความหมายมันคืออะไร แตกต่างกันตรงไหน ถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ใช่

มันก็วัวที่ออกไปถูกฆ่าที่แท่นประหารเดียวกัน...ทำไมจะต้องรู้ด้วยว่าวัวนี้แม่ลูกอ่อนหรือเปล่า หรือว่าวัวที่ถูกขโมยมา หรือเป็นวัวที่มันยังไม่สมควรฆ่า

คือไม่รู้ล่ะ มันถูกฆ่าในแท่นประหารเดียวกัน...คือดับไป นั่นแหละคือสาระที่พระพุทธเจ้าต้องการสอนให้เห็น ...ไม่ต้องไปฟุ้งซ่าน

เข้าใจคำว่าฟุ้งซ่านคืออุทธัจจะมั้ย นี่คืออุทธัจจะฟุ้งซ่านในธรรม ธรรมไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่ปรากฏท่านเรียกว่าธรรมะ เขาเรียกว่าฟุ้งซ่านในธรรม

คือลงไปแบบส่องให้เห็นรายละเอียดเพื่อจะแยกผิดให้ถูก ว่ามันเป็นคนละโมเลกุลกันหรือเปล่า  การจับตัวของขาโมเลกุลมันไม่เหมือนกัน นี่อันนี้มันดีกว่าอันนี้ เราจะได้ละอันนี้ จะได้เจริญอันนี้

ได้ก็ตาย...ไม่ได้ก็ตาย ...คือมันมีความตายของมันเป็นเกณฑ์อยู่แล้วเหมือนกัน คือความดับไป ...ถ้ามองแค่มุมนี้...ทิ้งเลย มันก็จะละความฟุ้งซ่านได้ในเหตุนั้นๆ

ก็กลับไปเป็นสงบนิ่งเงียบใบ้เหมือนคนโง่ คือรู้อย่างเดียว รู้เฉยๆ กลับมารู้เฉยๆ อีกแล้ว บ่อยๆ ...เอามันจนชำนาญ เอามันจนคุ้นเคยว่า ตรงนี้แหละ ที่นี่แหละ เป็นที่เดียวที่ปลอดภัย ...เหมือนอยู่ในบ้าน 

อย่าขยันให้เขาหลอก เดี๋ยวเขาเอาไปขายไปฆ่า ...มันก็เปลี่ยนหน้ามาเรื่อย เกิดเป็นความลังเลสงสัยแล้วต้องเข้าไปหา เข้าไปค้น ต้องเข้าไปทำความเข้าใจกับมัน ...ไม่รับแขก ไม่ปฏิเสธแขก เพราะเขาคือแขก


โยม –  มาก็มา

พระอาจารย์ –  อือ อยากนั่งก็นั่ง บ้านไม่เคยปิด ...อายตนะนี้ไม่เคยปิดประตูนะ ...ปาก หู จมูก ลิ้น กาย ไม่เคยปิด และปิดไม่ได้

เข้ามาก็เข้ามาเด่ะ คุณเป็นแขก คุณไม่อยู่จนตายหรอก เดี๋ยวคุณก็ไป ...จะมาอีก คุณก็เป็นแค่แขก  ไม่ต้องไล่ เราไม่เคยไล่ใคร และเราไม่เคยเชิญใคร เราไม่เคยชักชวนใครให้อยู่

อยากอยู่ก็อยู่ไปดิ เดี๋ยวมันก็ลากลับเองแหละ ไม่ต้องไล่ ใช่เปล่า ...นี่พระพุทธเจ้าถึงเปรียบว่ากิเลสทั้งหลายทั้งปวงเป็นแค่อาคันตุกะ  ทำไมจำเป็นต้องเดือดร้อนกับมันนักหนา

เพราะมันมีอายุขัย มาแล้วก็ไป ไปแล้วก็มา มาแล้วก็ไป ไปแล้วก็มา ...เอาจนมันขี้เกียจมา เพราะมึงมาแล้วกูไม่เคยต้อนรับมึงเลย ไม่เคยเอาน้ำเอาข้าวเอาเสื่อมาปูให้มัน ไม่เคยเข้าไปจิ๊จ๊ะเจ๊าะแจ๊ะกับมัน 

ไม่เข้าไปยกยอปอปั้น เข้าไปกอดคอผูกเสี่ยวกับมัน ...มาแล้วมันก็นั่งซื่อบื้อกันอยู่อย่างนี้ ต่างคนต่างซื่อบื้อ มันจะอยู่ได้สักขนาดไหน เอาดิ เดี๋ยวมันจะเบื่อเราก่อน 

เพราะอะไร ...เพราะนี่บ้านกู กูอยู่บ้าน กูไม่เคยไปไหน มึงเป็นแขก เดี๋ยวมึงก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ที่อยู่ของมึง เดี๋ยวมึงก็ไป ...แล้วมันก็รู้แล้วมันยังสงสัยอีกว่า ยังมีทางมั้ยที่มันจะต้อนรับเรา เดี๋ยวมันก็มาอีก 

มาอีก...ก็ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ...กูไม่สนๆๆ  อยู่เฉยๆ  กูไม่พูด กูไม่คุย กูไม่ดูดำดูดี กูไม่ไล่แล้วก็ไม่เชื้อเชิญมึง กูอยู่เฉยๆ อยู่เฉยๆ ...เดี๋ยวมันก็ไปเอง 

เอาจนมันรู้แล้ว ...เข้าบ้านนี้กูไม่ได้กินอะไรกับมันเลย ไม่ได้อิ่มไม่ได้เสวยอะไรเลย  หลอกก็ไม่ได้ มันไม่เคยไปกับกูเลย ...กูเหนื่อย กูไม่มาแล้ว กูไม่มาแล้ว

นั่น มันผ่านเลยๆ ๆ ...เห็นบ้านนี้แล้ว เหอะ กูเห็นเลยเจ้าของมันไม่ต้อนรับกู มันไม่สนใจ มันไม่ดูดำดูดีกับกู มันเห็นกู...เหมือนไม่มีอะไร

เพราะมึงไม่มีอะไรอยู่แล้ว มึงไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาโคตรพ่อโคตรแม่กู ...กิเลสก็ไม่ใช่โคตรพ่อโคตรแม่ อารมณ์ก็ไม่ใช่โคตรพ่อโคตรแม่ สุขทุกข์ก็ไม่ใช่โคตรพ่อโคตรแม่

มันไม่เคยบอกเลยว่ามันเป็นญาติกับใจดวงนี้ ฮึ ทำไมจะต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับมันนักหนา ...เขาจะมาเขาจะไป ทำไมจะต้องไปจัดสรรคิวฮึ

จะเป็นวินมอเตอร์ไซค์หรือไง ต้องมีคิว...อันนี้มาได้ อันนี้ไม่รับแขก อันนี้ต้องรับ อันนี้มาแบบสุภาพนี่ใช่เลย อยู่ได้ ต้องให้อยู่  มันก็แค่ดูดี มันก็แค่ดูร้าย ...มันจึงเกิดแบ่งเป็นกุศลและอกุศล

ทำไมถึงบอกว่าพระอรหันต์ท่านละทั้งบาป ละทั้งบุญ เหลือแต่ใจ เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง ...เพราะท่านไม่เอาอะไรไปเลย ไม่ใช่ละแค่บาป บุญท่านก็ละ ท่านไม่สน

เพราะอะไร ...เพราะท่านไม่เคยหวังผลข้างหน้า เพราะท่านไม่มีผลรองรับข้างหน้า เพราะท่านไม่คิดไม่ไปหวังมีอนาคตข้างหน้าอยู่เลย แล้วจะไปหวังอะไรกับบุญหรือบาป

เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีอะไรทั้งข้างหน้าข้างหลัง ...อย่างนี้จะเรียกว่าไม่จบในที่อันเดียวได้อย่างไร 

ทำไมถึงจะเรียกว่าหมดสิ้นหรือว่าจบกิจ ...เพราะจิตดวงนี้จะจบกิจที่จะต้องทำหรือไม่ทำ...ทั้งในอดีต ในอนาคต และแม้แต่ปัจจุบัน


(ต่อแทร็ก 4/33  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น