วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 4/31 (2)


พระอาจารย์
4/31 (add540401A)
1 เมษายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 4/31  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่ถ้ามานั่งคอย เมื่อไหร่มันจะดับ นั่นน่ะ มันเข้าไปเล่นอยู่ในนั้นแล้ว ไปเล่นในโคลนโดยไม่รู้ตัวว่าเล่นโคลนอยู่ กับอีกคนบอกว่าไอ้บ้านี่ไปเล่นทำไมวะมันเลอะ ...มันต่างกันนะ มันต่างกัน


คือเราอยู่รอบนอก เหมือนคนเชียร์มวยน่ะ...กูไม่ขึ้นชก กูดู พากย์ก็ได้ อะไรก็ได้ แต่ดูอยู่ ไม่เจ็บหรอก อย่างเนี้ย นั่งอยู่นี่ เห็นมั้ย เห็นธรรมดานี่ เห็นมั้ย

เห็นข้างนอกนั่นมั้ย เห็นต้นไม้มั้ย เห็นแดดมั้ย ได้ยินเสียงมั้ย เดือดร้อนมั้ย ...ไม่เห็นเดือดร้อนเลย ...ต้องเข้าใจมันมั้ย ไม่เข้าใจก็ได้ ก็เรื่องของมัน ใช่มั้ย

เสียงนี่ มันจะดังก็ดังใช่มั้ย เราไม่ไปใส่ใจ แดดมันจะร่มหรือมันจะแรงขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใส่ใจ หือ ต้องไปรู้มันมั้ย ต้องไปรู้ความจริงอะไรกับมันมั้ย

ก็เออ แรงก็แรงดิ ไม่เห็นมันมีแดดเดี๋ยวก็มืด จะเสียใจมั้ยเวลามันมืดน่ะ ...ก็รับได้ รับได้ ใช่มั้ย รับได้มั้ย...ทำไมถึงรับได้ ฮึ ทำไมถึงรับได้ เพราะอะไร


โยม –  มันเป็นของมัน

พระอาจารย์ –  เออ มันเป็นธรรมชาติ ใช่มั้ย มันเป็นของเรารึเปล่า มันเป็นเรื่องของเรามั้ย บอกอะไรมันจะฟังเรามั้ยเนี่ย จะไปแก้ไขมันได้มั้ย

ถ้าออกไปยืนกลางแดดก็ร้อนนะ ออกไปทะเลาะกับแดดก็ร้อน เหนื่อยนะ ไปทะเลาะกับเสียงนกเสียงกานี่ก็เหนื่อยนะ ...อยู่ในบ้านนี่สบายดีมั้ย ก็แค่ดูใช่มั้ย

เพราะนั้นก็อยู่ในบ้าน อยู่ที่ใจ เป็นแค่คนนั่งดูเฉยๆ กระดิกตีนนี่ จิบน้ำชาดู ...ช่างหัวมัน โลกมันจะหมุนไปยังไงก็เรื่องของโลก กูไม่เกี่ยว

ไม่ได้พูดเล่นนะ...นี่คือธรรมชาติ ...หรือกายนี่ไม่ใช่ธรรมชาติ หรืออารมณ์ไม่ใช่ธรรมชาติ หรือกิเลสไม่ใช่เป็นธรรมชาติ ...ทำไม เสียงมันก็ไม่ใช่ว่ามันจะดีทุกเสียงไป ใช่มั้ย

คนเดินไปเดินมาหน้าตาอาจจะสวยก็ได้น่ะ อย่าไปกระโดดกอดเขาแล้วกัน อย่าไปกระโดดถีบเขาแล้วกัน ใช่มั้ย อยู่ในบ้าน เขามาแล้วเขาก็ไป ๆ ยุ่งทำไม ไปยุ่งกับมันทำไม

นี่คือเป้าหมายของสติ ...ไม่ใช่ว่ามึงมาทำไม พ่อมึงชื่ออะไร แม่มึงชื่ออะไร เกิดวันไหน เวลาไหน ...จำเป็นต้องรู้มั้ย พ่อของพระอาทิตย์ชื่ออะไร ทำไมวันนี้ถึงแดดไม่ออก ทำไม เป็นโรคอะไรฮึ

แล้วอยู่ดีๆ มันแดดมา มันมีเหตุปัจจัยอะไร ต้องรู้มั้ยเนี่ย ...ก็แค่เนี้ย พระพุทธเจ้าบอกให้แค่เนี้ย  เรียกว่า สุดท้ายก็จะเห็นความเป็นจริงในสิ่งที่เรามองข้าม

ว่าขันธ์คือธรรมชาติหนึ่ง ใจก็คืออีกธรรมชาติหนึ่ง...ที่อยู่คู่กัน ...ขันธ์คือธรรมชาติของไตรลักษณ์ แดดออก ฝนตกฟ้าร้อง คนไปคนมา นกบินผ่านไปผ่านมา

คนไปมา คนเดิน หมาเดิน มันก็แปรปรวนไปมา คือภาวะของไตรลักษณ์ เป็นธรรมชาติของไตรลักษณ์ ...เหมือนกันหมดน่ะ เหมือนกันในแง่ของไตรลักษณ์

คือในลักษณะของโมเดลน่ะไม่เหมือน รูปทรง รูปลักษณ์ ลักษณะอาการไม่เหมือน...โดยโมเดล ...แต่มันก็แค่นั้นน่ะ ผ่านไปผ่านมา...เป็นธรรมชาติ แล้วก็มีอีกธรรมชาติหนึ่งที่เห็นอยู่ ก็คือใจ

ไปๆ มาๆ "เรา" อยู่ไหนวะนี่ เราอยู่ในธรรมชาติเหรอ หรือว่าเราอยู่ในคนที่รู้คนที่เห็นนี่ ...สุดท้ายมันก็เป็นแค่ไม่มี "เรา" มีแต่ธรรมชาติสองสิ่งอยู่คู่กัน ก็มีแค่ธรรมชาติของไตรลักษณ์กับธรรมชาติของธาตุรู้ ..ใจ

แต่ไอ้ตอนนี้ ต้องเรียนรู้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ...นี่ สั่งให้นั่งอยู่ในบ้าน...กูจะออกท่าเดียวน่ะ มันไม่ยอม สนุกอ่ะ ...อาคันตุกะ กิเลส แขกมาเคาะประตูแป๊ะๆ ไปกัน ...ไปก็ไปดิ ไปเลย

ไปไหนไม่รู้ ...สนุก เขาบอกว่าสนุก ยังไม่รู้เลยไปไหน..ไป ...เสร็จแล้วเขาก็ทิ้งกลางทาง โซซัดโซเซ กลับบ้านถูกก็ดีไป กลับบ้านไม่ถูกไปอยู่บ้านไหนก็ไม่รู้ ลงนรกตกสวรรค์ก็ไม่รู้

พอกลับบ้านๆ มาพักอกพักใจ เดี๋ยวก็มาอีกแป๊ะนึง...อ๊ะ คนนี้คนใหม่ หน้าตาดูดี หน้าตาดูจะมีธรรม หน้าตาจะเป็นธรรมเป็นมรรคผลเป็นนิพพานเว้ยเฮ้ย

นี่ ดูท่ามันเป็นนักบวชน่ะ มีศีลดูดี เขาบอกสาธยายอย่างนั้นอย่างนี้  สภาวะนั้นสภาวะนี้ จะไปอย่างนั้นอย่างนี้ ไปนะด้วยกัน ที่สุดของมรรคเลย อยู่ตรงนั้นน่ะ

"เราเคยไปมาแล้วเคยทำมาแล้ว วิธีการนี้แหละสำเร็จเร็ว ตรง ครูบาอาจารย์ มีอาจารย์นั้นอาจารย์นี้เป็นคนสอนมา ไปกัน" ...ก็ไปเลย กระโดดตามไปเลย

คิดว่าขึ้นเครื่องบินเฟิร์สทคลาส ตีตั๋วขึ้นเครื่องบิน สุดท้ายเขาก็โดดร่มหนี...เพราะสิ่งที่ออกไปเป็นแค่อาคันตุกะ ไม่มีตัวไม่มีตน ...ถูกหลอกอีกแล้วครับท่าน

เอาอีก พอนั่งอยู่บ้าน เบื่อ เหงา เห็นภาพซ้ำๆ อยู่อย่างนี้ ไม่ไปไหนอ่ะ มีแค่นี้ ธรรมด๊าธรรมดา มันธรรมดามากๆ เลย กูเบื่อ ...ไม่มีใครมาชวนก็ออกไปนอกบ้าน หา รถเมล์สายไหนจะมา

ดูป้ายซิ ไปกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ กูจะหาเอาที่ไปนิพพานน่ะ เอาโสดาบันก็พอ โอ๊ย คันนี้ ใช่เลยๆ ดูทรวดทรงรูปร่างแล้วตรงเลย ต้องไปคันนี้ก่อน

นี่ไง มีละสีลัพพตะด้วย...บอกสรรพคุณเรียบร้อยติดไว้ข้างรถ ละสีลัพตปรามาส ละวิจิกิจฉา ละสักกายทิฏฐิ...ขบวนนี้ชัวร์ ตรงเป๊ะตามตำราเด๊ะเลย ...ขึ้น เสร็จ...น้ำมันหมดกลางทาง

มรรค...มันเข้าใจว่าเป็นมรรค เป็นทาง จับรถเมล์สายไหนได้ กูก็ว่าเป็นทางหมดแหละ ...แทนที่จะเป็นมัคคา มันเป็นมักมาก มักมากโลภมาก...โดนหลอกอีกแล้วครับท่าน

โซซัดโซเซกลับมา สุดท้ายก็หนีบ้านตัวเองไม่พ้นหรอก เคยไปเที่ยวนอกบ้านมั้ย เคยไปไกลๆ หลายๆ วันมั้ย ไปทำงานเหนื่อยๆ กลับบ้านนะ พอกลับบ้านรู้สึกยังไง


โยม –  ดีใจ ได้กลับบ้าน

พระอาจารย์ –  อือ สบายใจ ใช่มั้ย เหมือนกันน่ะ ...แต่อยู่ไม่นานหรอก เดี๋ยวออกอีกแล้ว มันไม่เพลิดเพลินเจริญใจเนอะ อยู่บ้าน มันเบื่อมันเซ็ง เหมือนมันไม่มีอะไรนะ

เหมือนกับครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่ารู้โง่ๆ อ่ะ อยู่แบบโง่ๆ อยู่แบบซื่อๆ อยู่แบบไม่มีไม่เป็นอะไรนะ อยู่แบบธรรมดานะ อยู่แบบติดดินนะ ...แหมมันขัดกับโมเดลเราเลย

โมเดลเรานี่ เริ่ด สวยหรู หมดจดหมดสิ้นกิเลสไม่มีอะไรปรากฏ หมดจดบริสุทธิ์ เป๊ะ ...นั่นแหละ จะเอารถสายไหนดี จะเอากี่สาย บอกให้จะเอากี่สาย กรรมฐาน ๔๐ 

วิปัสสนากรรมฐานก็มี สมถกรรมฐานก็มี ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัง นะมะพะธะ ดวงแก้ว เอากันเข้าไป จะเอารถเมล์เหรอ กี่สาย สุดท้ายก็กลับมานอนตายบ้าน 

อยู่บ้านนี่แหละ ...อะไรคือบ้าน...กาย-ใจ นี่พระพุทธเจ้าสอนอยู่สองสิ่ง กาย กับใจ รู้กายหรือไม่ก็รู้ใจ มีอยู่สองอย่าง...ให้รู้อยู่แค่นี้ ออกมาจากนั้นไปต้องไปรู้หรอก

แล้วกายใจนี่ต้องหามั้ย ต้องทำขึ้นมามั้ย มันมีอยู่แล้วใช่มั้ย มีมาตั้งแต่เกิด...แต่ไม่เคยดูเลย ไปดูกายคนอื่น ไปดูอารมณ์คนอื่น ไปดูเรื่องคนอื่น

เรื่องตัวเองดูได้นิดนึง ยังไม่ทันจะแจ้ง ยังไม่ทันจะชัด ยังไม่ทันจะสว่าง ยังไม่ทันจะกระจ่าง ยังไม่ทันจะหมดสงสัย...ไปสงสัยเรื่องคนอื่นอีกแล้ว ไปสงสัยในวิถีนั้นวิถีนี้ นั่นใช่มั้ยถูกมั้ย นี่ใช่มั้ย

หาอะไรกัน ...ถามว่า...มีอะไรในกอไผ่ หือ


โยม –  หน่อไผ่ครับ

พระอาจารย์ –  มีอะไรในหน่อไผ่...คำถามเด็กๆ ไม่ต้องคิดมาก ...มันไม่มีอะไรในกอไผ่ ใช่เปล่า หามันเข้าไปทั้งกอ มีอะไร..เอ้า เปลี่ยนกอไผ่ใหม่ มีอะไรในกอไผ่ เป็นชนิดใหม่ ...ก็ไม่มีอะไร

หรือเป็นกอไผ่ติดเพชร ออกหน่อเป็นพลอย มีอะไรในกอไผ่มั้ย...แล้วจะหาอะไร จะเอาอะไร ...เหมือนพวกเรานี่ ความคิดเกิดขึ้น ก็จะหาอะไรในกอไผ่ ได้ยินได้ฟังอะไรมาก็จะหาอะไรในกอไผ่

คิดขึ้นมาเอง วิเคราะห์ขึ้นมาเอง เกิดอาการนั้นเกิดอาการนี้ก็จะหาอะไรในกอไผ่ ...จะไปหาอะไร ไม่มีอะไรหรอก ให้มันคุ้นเคยกับ “มันไม่มีอะไรหรอก”

เวลากลับมารู้ตัว รู้ตัว รู้ลงในปัจจุบัน รู้ว่านั่ง ๆ รู้ว่าเดิน รู้ว่านั่ง ขณะนี้ไม่เห็นมีอะไรเลย ...แต่สักพักนึงก็ดิ้น แตกตัวออกมาเป็นนาม อดีตมั่งอนาคตมั่ง...รู้อีก เอามันจนหมดดิ้นน่ะ

เคยขี่รถใช่มั้ย ขับรถเป็นกันทุกคนใช่มั้ย รถมันวิ่งเองได้มั้ย ต้องมีน้ำมันแล้วก็มีคนขับใช่มั้ย ...ถ้าไม่เติมน้ำมันมันวิ่งมั้ย ถึงมีคนขับก็ไม่วิ่งใช่มั้ย

ใจนี่เหมือนรถที่มันมีน้ำมันน่ะ ...เวลาออกไปกินอารมณ์ ออกไปหาอารมณ์ ออกไปทำอะไร ออกไปได้อะไรมั่ง เสียอะไรมั่ง ...นั่นน่ะเติมน้ำมันให้มัน

แล้วก็มีเราเป็นคนขับ แล้วเราก็จะขับไปตามที่รถมันวิ่งออกมา ไปหาอะไรต่อมิอะไร ...ก็ให้มันวิ่งซะ แล้วไม่เติมน้ำมันให้มันน่ะ... มันจะหมดมั้ยน้ำมัน

หมดน้ำมันแล้วไปนั่งเหอะบนรถ เหยียบคลัชเหยียบคันเร่งเข้าไปเถอะ มันก็ไม่ไป ...เนี่ย ก็คือไม่ได้เรียกว่ารถน่ะ เป็นเศษเหล็กก็ยังได้ ต่อให้สวยขนาดไหนก็เป็นเศษเหล็ก

นั่นแหละพระอรหันต์...ขับรถเปล่าๆ ที่ไม่มีน้ำมัน ...นี่น่ะท่านจึงเรียกว่าหมดสิ้นซึ่งความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง  เพราะงั้นให้ท่านจับมานั่งอยู่อย่างนี้ ใจท่านก็แค่รู้เปล่าๆ

แต่ของพวกเราให้นั่งเฉยๆ อย่างนี้ แล้วก็รู้ธรรมชาติอย่างนี้ ...มันไม่เปล่าเว้ยเฮ้ย มันดิ้น เห็นมั้ย มันทะยาน มันหา มันออก มันจะออกอยู่ตลอดเวลาน่ะ

แล้วทำยังไงถึงจะไม่เติมน้ำมันให้มัน ...ก็ศีล สมาธิ ปัญญา ระลึกกลับมาอยู่ในปัจจุบันอีก ...เสียดายนะ อึดอัดนะ ของเคยกินมันบ่ได้กินน่ะ ของเคยเสพมันไม่ได้เสพน่ะ

ทวนนะ เขาเรียกว่าทวน...ทวนกระแสนะ มันต้องทวน ...เพราะถ้าปล่อยให้มันได้กินได้อิ่ม ได้พอใจ ได้ดีใจ ได้เสียใจ...นั่นมันก็คือเติมน้ำมันให้มันนั่นแหละ

ก็ไปเติมอะไร...น้ำมัน คือเติมความอยากนั่นแหละ ให้มันพุ่งต่อไปอีก  ได้แล้วก็ต้องไกลกว่านั้นอีก มีความสุขแค่นี้ก็จะเอาสุขกว่านี้อีก ...เห็นมั้ย มันไม่มีคำว่าพอ มันจะหาน้ำมันเติมไปเรื่อย

อ้าว เติมได้แปดสิบปี หาได้แปดสิบปี...ตาย ยังไม่ถึงที่สุดเลย ทำไงอ่ะ...เกิดใหม่ มาหาต่อ ชาติหน้า ...ก็ไม่ได้อยากจะมาหาต่อหรอก แต่มันค้างอยู่อ่ะ มันค้างอยู่ ความปรารถนามันยังค้างอยู่อ่ะ  

เหมือนรถมีน้ำมันติดเครื่องรอคนขับแค่นั้นน่ะ พอมีคนขับปุ๊บ มันวิ่งเลย ซิ่งลูกเดียว เกิดมามันก็ซิ่งเลย ออกจากท้องแม่มันก็เริ่มซิ่งมาเลย ชนนั่นชนนี่เบียดกันไปเบียดกันมา ลงมาชกปากกันไปชกปากกันมา

นี่เบียดเบียนตลอดเวลา ในโลกนี้มันอยู่กันด้วยการเบียดเบียน มีการกระทบกระทั่ง กระแทกกระทั้นกัน ตราบใดที่รถยังวิ่งอยู่นะ ...แต่ถ้ารถหยุดมันจะมีชนกันมั้ยน่ะ มันจะเบียดเบียนยังไง ฮึ

เพราะงั้น กลับมาหยุดอยู่ในปัจจุบัน ....อึดอัดขัดใจพ่อตาแม่ยายหน่อย ช่างหัวมัน  พ่อตาแม่ยายไม่ใช่พ่อจริง อย่าไปฟัง อย่าไปตามมัน อะไรปุ๊บจับขี้จับตดมาเป็นอารมณ์ต่อเนื่องหมด

ละได้ละ อย่าเสียดายกิเลส อย่าเสียดายความคิด ...ไม่คิดก็ไม่ตายหรอก ไม่ตรงที่คิดหรือว่าเป็นไปอย่างที่เราไม่เคยคิดก็ไม่ตายหรอก ดูซิมันจะตายมั้ย

เมื่อเจอเหตุการณ์นั้นวันนั้นเวลานั้นปรากฏขึ้น แล้วมันไม่เคยคิดมาก่อนเนี่ย ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนนี่ ...เออ ดูสิมันจะตายชักตรงนั้นมั้ย มันจะแก้ปัญหาไม่ได้มั้ย

ทำไมถึงบอกว่าผู้ปฏิบัติต้องเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ตายก็ตาย อย่างมากแค่ตาย ...อย่าอ่อนแอ อย่ากลัว อย่าให้ถูกชี้นำด้วยความคิดหรืออดีตอนาคต ไม่งั้นเราจะตกอยู่เบื้องล่าง เป็นเบี้ยล่างมันตลอด

เหมือนเป็นควายที่ต้องรอให้มีคนจูง จูงไปไหน ก็ตามเขาหมดน่ะ ...นั่นแหละคืออนุสัย คือนิสัยที่หมักหมมมา เคยชินในการตามความคิด ตามความอยาก

ตามไปหมด...ตามอารมณ์ ตามรูป ตามเสียง ตามกลิ่น ตามรส อย่างนั้นอย่างนี้ อย่างงั้นอย่างงี้ ...ไม่กลับมาหยุด ดู เห็นตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร

ถ้าก่อนที่จะตาม หยุด...ดู หยุดก่อน...ดู ...ยังไม่เข้าใจไม่เป็นไร หยุด..ดู หยุด..ดู ...เอาเหอะ เดี๋ยวจะรู้เองว่าสิ่งที่หยุดแล้วดู ไอ้สิ่งที่ดูนั้นน่ะคืออะไร ก็จะเห็นว่าไม่เห็นมีอะไรเลย ..ดับ หาย

ความคิดมันเป็นตัวเป็นตนตรงไหน จับมาดูดิ๊ ...เชื่อมันจังอ่ะ  อารมณ์น่ะ สุขทุกข์น่ะ ชั้นทุกข์มากกว่าเธอ เธอทุกข์มากน้อยกว่าฉัน ฉันมีสุขมากกว่าเธอ เธอสุขมากกว่าฉัน

เอามาชั่งดูดิ๊ เอามาชั่งแข่งกันดูสิ  มันหยิบมาชั่งได้มั้ย มันมีตัวมีตนเป็นกอบเป็นกำยังไง ...นี่ ถ้าดูไปตรงๆ น่ะ หยุดแล้วก็ดู จะเห็นความเป็นจริงในสิ่งที่ถูกรู้ขณะนั้นว่ามันคืออะไร


(ต่อแทร็ก 4/31  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น