วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 4/32 (1)


พระอาจารย์
4/32 (add540401B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 เมษายน 2554
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ลองตั้งอกตั้งใจที่กลับมารู้ลงในปัจจุบันของกาย ปัจจุบันของจิต ...เช่นนั้นน่ะ ไม่นานหรอกก็จะเข้าใจ

ว่าแต่ก่อนน่ะ เราอยู่ เราใช้ชีวิต เราปฏิบัติธรรมด้วยการถูกหลอก ด้วยความไม่รู้แต่มันคิดว่าจะรู้มากกว่านี้ด้วยการทำ  ยิ่งทำเยอะยิ่งได้เยอะ...แต่มันทำแบบขึ้นเหนือลงใต้ไปเรื่อยน่ะ

เพราะนั้นในการทำของพระพุทธเจ้า ท่านบอกให้หยุดอยู่ในปัจจุบัน ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ...แค่นั้นแหละ เรียกว่ามรรคเดินแล้ว

เพราะนั้นมรรคในความหมายของท่าน ดูเหมือนมันไม่ไปไม่มา ดูเหมือนไม่มีเส้นทางเลย แต่นั่นแหละ ท่านเรียกว่ามรรคของจิต เป็นทางที่จะเข้าไปสู่ความจบ ที่สุดของความจบ หรือว่าที่สุดของความดับ

ให้มันดับ ให้มันดับไป ...เนี่ย อยากเกิด...เกิดมา สุดท้ายมันก็ดับ เกิดอีกดับอีก เกิดอีกดับอีก เกิดมากดับมาก เกิดน้อยดับน้อย ...ไม่ว่าอะไร มันจะเห็นแต่ความเกิดมา และก็ดับหมดทุกเรื่องไป

เอาจนมันไม่เกิดไม่ดับน่ะ  จนไม่มีอะไรที่มันไม่สงสัยเลยว่าเกิดมาแล้วมึงก็ดับ ไม่มีอะไรไม่ดับ ...นั่นแหละ หมดสงสัย ไม่ต้องไปหาอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องไปหาอะไรในกอไผ่อันใหม่อีกแล้ว

ดับหมด เหมือนกันหมด ...ต่อให้เป็นกอไผ่ทรงเครื่อง กอไผ่เลี่ยมเพชรติดทอง กอไผ่ออกลูกเป็นคน  อะไรมันจะประหลาดมหัศจรรย์พิสดารขนาดไหน กูก็รู้ว่ามึงดับ ไม่มีอะไร

นั่นแหละ มันจะหยุดการขวนขวายโดยสิ้นเชิง จิตจะเข้าสู่ความหยุดโดยสมบูรณ์ พอดีหมด พั้บ เข้าใจ ไม่สงสัยในที่ทั้งปวง ไม่สงสัยในความเห็นทั้งปวง...ไม่มีอะไร ...เหมือนกันหมด

จึงกลับคืนสู่ความเป็นธรรมดา ปกติ เสมอกัน ...ไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่มีดำไม่มีขาว ไม่มีดีไม่มีชั่ว ไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่มีควรไม่มีไม่ควร ไม่มีเกิดแล้วก็ไม่มีดับ

มีแต่งั้นๆ น่ะ เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกันเลย เหมือนน้ำกับน้ำมัน ไม่มีทางที่จะเข้าไปทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่อง หรือว่าแปรปรวน หรือว่าเปลี่ยนสภาพได้เลย  

เหมือนนมที่ถูกทำเป็นเนยแล้ว เนยไปทำให้เป็นนมไม่ได้  แต่นมโดนทำเป็นเนยแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นนมอีก ...นั่นแหละ ไม่หวนกลับ ไม่กลับคืน ไปแล้วไปลับ

มีแต่คำว่า never see you again ...ไม่ใช่ see you again เจอกันใหม่ เจอกันอีก ตายแล้วเกิดอีก see you again ...มันก็ไม่มีคำว่าจบ ...นี่ จนกว่าจะว่า so long ไปแล้วไปลับ ไม่กลับ

ตายจึงไม่ต้องกลัว ... ตายแน่ ตายช้าตายเร็ว ตายก่อนตายหลัง ตายบนตายล่าง ตายในน้ำตายบนบก ตายในรถ ตายในบ้าน ตายในโรงพยาบาล แก่ตาย เจ็บตาย โดนยิงตาย ถูกฆ่าตาย

ตายเหมือนกันหมด อย่ากลัว ...กลัวเกิด...กลัวตายแล้วเกิดใหม่ ...ตายไม่ต้องกลัว ตายทุกคน เราก็ตาย คนในโลกไม่เห็นมีใครไม่ตาย...ตายหมดโลกเลย

กลัวทำไม มีเพื่อนตายเยอะแยะ ...มีเพื่อนก็ตาย ไม่มีเพื่อนก็ตาย  เพื่อนในโลกนี้ตายหมด ...สัตว์โลกตายหมด ไม่ต้องกลัว เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย 

เห็นมั้ย ไม่ใช่แค่คำพูดนะ เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายนี่ ...เพราะมันไม่มีใครไม่เหมือนกันหรอก ตายแน่ ...แต่มันตายแล้วมันไม่กลัวเกิดน่ะ ไอ้นี่สิน่าเสียดาย

แต่มีบางคน บางองค์ กลัวตายแล้วเกิด ก็ขวนขวาย....เพราะอะไร ไม่อยากกลับมาเกิดอีก ...แล้วมีสิทธิ์ทำได้ พระพุทธเจ้าถึงให้ยาดียาแก้ไว้ ศีล สมาธิ ปัญญา สติปัฏฐาน ๔

นี่ เป็นยา...ไม่ได้แก้ตาย แต่แก้เกิด ทำเหอะ กินเข้าไปเยอะๆ เดี๋ยวไม่เกิดเอง ...ให้นึกดูนะ ตายนะ เกิดใหม่นะ ไปนั่งในโอ่งนะ โอ่งมังกรใหญ่ๆ

ลองไปนั่งดู เอาน้ำคร่ำใส่เข้าไป ปิดฝา ไปนั่งงอตัวหันหน้าเข้าหากระดูกสันหลัง ผินหลังออก สัตว์โลก ...๙ เดือนนะ ทุกข์มั้ย มันสุขรึเปล่า

นั่น ต้องกลับมาวนใหม่อีกนะ แล้วมาเริ่มหัดเดินใหม่อีกนะ อ้อแอ้ๆ ฟังใครพูดก็ไม่รู้เรื่อง อยากกินก็ไม่ได้ ไม่อยากกินก็ไม่ได้ ขี้เยี่ยวเองก็ไม่ได้นอนจมขี้จมเยี่ยวอีกกี่ปีล่ะ

กว่าจะ “พ่อๆ แม่ๆ” สองขวบสามขวบสี่ขวบก็ว่ากันไป จะไปบอก...เอ้า พุทโธนะ เอ้าภาวนานะ ...กูไม่รู้ กูไม่สน กูไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ...กว่าจะเข้าใจน่ะ ก็ไม่ใช่เวลาอีก 

ต้องเรียนหนังสือก่อน โดนบังคับให้เรียน ...ไม่อยากเรียนหรอก ไม่มีใครอยากเรียนหรอกเด็กๆ น่ะ  โดนพ่อแม่บังคับ ต้องเรียน เอ้าพอจบ...จบมาทำงาน หาเงินก่อน

กว่าจะเริ่มสำนึกภายในเกิดขึ้นว่า "กูกำลังทำอะไรอยู่วะ" ...เนี่ย สามสิบต้นๆ ยี่สิบปลายๆ ...บางคนสี่สิบห้าสิบมันยังไม่รู้ตัวเลย มารู้ตัวเอาหกสิบเจ็ดสิบก็มี

มาเริ่มปฏิบัตินี่ ได้สักห้าปีหกปี...ตายอีกแล้ว ไปนอนในโอ่งต่ออีกแล้ว ไม่เบื่อรึไง (หัวเราะ) เกิดใหม่อ่ะ น่าเบื่อจะตาย ซ้ำซากๆ ...ซ้ำร้ายไปเกิดที่ไหนก็เลือกไม่ได้นะ

นี่ ไม่ได้เกิดกับพ่อแม่คนเดิมนะ ไม่ได้เกิดในสภาพแวดล้อมเดิมอีกนะ ต้องปรับตัวใหม่ ต้องเจอเหตุการณ์ใหม่ๆ ต้องเจอโลกที่มันซ้ำซากแล้วก็แย่ลงๆ ไปเรื่อยๆ

ทำไมไม่ขวนขวาย ทำไมถึงประมาท ทำไมถึงอยู่แบบเกะๆ กะๆ อยู่แบบเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย ...มันก็เข้าใจว่าไม่เรื่อยเปื่อย ทำงาน หาเงิน ทำทุกอย่างที่เป็นคนดี

ก็ดีอยู่อ่ะ...แต่เราบอกว่ามันไร้สาระว่ะ ...กับไอ้การที่กลับมาตั้งอกตั้งใจเรียนรู้กระบวนการของขันธ์ตามความเป็นจริง ...จริงๆ น่ะมันก็ไม่ได้ยาก แค่กลับมารู้ รู้ๆๆ มันยากตรงไหน

มันขี้เกียจน่ะ ...มันก็ไม่ได้ต้องไปแบกไปหาม ไม่ได้ว่าไปเข้าคอร์สปิดเงียบปิดการพูด อดข้าวอดน้ำ อยู่ในป่าในเขา มุดร่ำมุดรูอยู่ ห้ามเจอเดือนเจอตะวันอะไรนี่

ทำไมมันยากเหลือเกินไอ้การกลับมารู้นี่ ...กับการช้ชีวิตแบบลอยเลื่อน เลื่อนลอย  ทำอะไรที่มันคิดว่าเป็นสาระแก่นสาร โดยที่เรามองว่าไม่เห็นมันเป็นสาระแก่นสารตรงไหน

เพราะอะไร ...เพราะตายแล้ว...ถ้าตายแล้วมันเอาอะไรไปได้ ไอ้ที่เคยทำอยู่น่ะ...งานน่ะเอาไปได้ป่าว เงินน่ะ ความสุข เอาไปได้มั้ย มันเอาอะไรติดตัวไปได้ล่ะ

ตายแล้ว ก็เห็นแต่...ฝากไว้ก่อน กูต้องฝากมึงไว้ก่อนทั้งนั้นน่ะ กูเอาไปไม่ได้สักอย่าง...หน้าตาชื่อเสียงลาภยศ เขาเคยชมมาไงมันก็จำได้สักห้าปีสิบปี เดี๋ยวมันก็ลืมแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้ว

เอาอะไรไปไม่ได้เลย ...อู้หูย กูทำแทบตาย จริงจังแทบตาย ต่อสู้ดิ้นรน ปากกัดตีนถีบขวนขวาย เรียกร้องสิทธิ์ เรียกร้องความถูกต้อง เรียกร้องความดีความชอบ ...พอตายแล้วมีอะไร เห็นมั้ย

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าใช้ชีวิตแบบไร้สาระ มันยังมีอะไรในชีวิตที่มีสาระกว่านั้นอีก คือกลับมาเรียนรู้กระบวนการของขันธ์ ...ตรงนี้ มันถึงจะเป็นยาที่แก้เกิด

เป็นปัญญาที่มันจะติดตัวกลับมาเรียนรู้ใหม่ ทำข้อสอบใหม่ จะได้พาสๆๆ ไปเรื่อยๆ ...พาสยังไง  เหอะ..สบายมาก..ผ่าน  เอ๊อะมา..สบายมาก..ผ่าน เอ๊อ ..สบายมาก ผ่าน

ไม่ว่าอารมณ์ไหน ไม่ว่าเรื่องไหน ไม่ว่าจะเลวร้ายเคยติดเคยข้องขนาดไหน..ผ่านๆๆๆ...มีหรือมันจะไม่จบปริญญา ...ไม่ใช่มาแล้วกูก็เอฟๆๆ กูติดทุกเรื่องไม่ว่าอะไรจะเข้าหูผ่านตา

กูได้คิดได้เห็นแล้วกูเอฟหมดๆ กูติดมันทุกเรื่องน่ะ ...ติดเอฟติด ร. มันอยู่นั่นล่ะ มันจะผ่านยังไง ไปจริงจังทุกเรื่อง หือ ...เอาจนมันไม่มีอะไรให้ควรค่าแก่การเข้าไปจริงจัง

รู้ตัวบ่อยๆ ...พูดมายืดยาวนี่ ให้กลับมารู้ตัวแค่นั้นแหละ แล้วมันไม่เหลืออะไรตรงนี้เลย ...พูดมาหมดนี่ไม่มีอะไร กลับมารู้ตัวนี่ไม่มีอะไร ที่จำมาที่ฟังมาทั้งหมด...หายหมด

มันก็เป็นแค่ความจำ...เสียงผ่านมาแล้วก็หาย ธัมม้งธรรมะไม่มีอะไรทั้งนั้นน่ะ ...ไม่ต้องไปหาหรอก ไม่ต้องไปจำด้วย ฟังเราแล้วไม่ต้องไปจำ นี่อัดกันแทบตายนี่ก็แค่นั้นแหละ (โยมหัวเราะกัน)

ไม่ต้องจำ ...ให้รู้ตัวอย่างเดียว ไม่ต้องไปนั่งคิดนั่งใคร่ครวญหาถูกหาผิดกับไอ้สิ่งที่เราพูดแล้วไปเทียบกับคนนั้นคนนี้ ...มันก็ไม่มีทางตรงกันหรอก เดี๋ยวจะสงสัยมากไป

รู้ตัวนี่...หมดสิ้นซึ่งความสงสัย...ในปัจจุบันนะ ...เมื่อหมดสิ้นซึ่งความสงสัยในปัจจุบันบ่อยๆ มันจะหมดสิ้นสงสัยโดยสิ้นเชิงได้ ไม่เห็นมีอะไร

แล้วจะเข้าใจคำพูดเอง...ที่นึกว่าเราพูดเล่นเรื่องไม่มีอะไรในกอไผ่ เฮ่อ อาจารย์พูดไม่ผิดเลย ...มันจะเป็นอย่างนั้น หามาแทบตายเลือดตกยางออก สุดท้ายนึกว่าจะดี นึกว่าจะได้

นึกว่าจะโดดเด่นเป็นเอกเป็นสง่า ฝากจารึกไว้ในแผ่นดิน ด้วยความรู้นั้นด้วยความรู้นี้ ด้วยสภาวธรรมนั้น ด้วยจิตเป็นอย่างนั้นด้วยจิตเป็นอย่างนี้ มหัศจรรย์มาก

สุดท้ายไม่เห็นมีอะไร ..ฮึ เป็นอรหันอรแหะ เป็นโสดาบันโสดาแบะอะไร  อยากได้กันจัง อยากเป็นกันจัง ...เอามาต้มกินยังไม่ได้เลย (โยมหัวเราะ) อิ่มก็ไม่อิ่ม

ทำไมมันถึงว่ามันต้องมี ต้องเป็นอะไร หือ ...อยู่ตรงนี้สบายดีออก หือ อยู่เดี๋ยวนี้ ตรงนี้...อยู่ตรงเนี้ย มีอะไร ทุกข์ก็ไม่มี...ไม่ใช่แต่ทุกข์ไม่มี สุขก็ยังไม่มี

ไม่ต้องเลือกมาก เห็นมั้ย ...เพราะไม่มีอะไรให้เลือก เลือกไม่ได้...มีแค่นี้ มีเท่าที่มันมี ตรงนี้ เห็นมั้ย ตาเห็นนี่...แค่นี้ มีเท่าที่ตาเห็น หูเท่าที่ได้ยิน ...นี่ปัจจุบันนะ

รูปก็มีเท่าที่เห็น กายก็มีเท่าที่ตรงนี้ เวทนาก็มีเท่าที่ตรงนี้ เย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบมาอยู่แค่นี้ ...เนี่ย ถ้าอยู่ในโลกความเป็นจริงนี่ มันมีอยู่แค่นี้จริงๆ

แล้วเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแล้ว เนี่ย ลม เย็นมา แล้วก็ดับ ...นี่ ความจริงมันมีอยู่แค่นี้  ไม่เห็นมันมากเรื่องเลย ทำไมมันจะรู้กับความจริงแค่นี้ไม่ได้รึไง ...มันสู่รู้ มันแสนรู้ มันรู้มากเกิน

เคยได้ยินคำว่าแสนรู้ป่าว ชอบเป็นพวกแสนรู้มั้ย (โยมหัวเราะ) มันรู้มากจนแสนรู้อ่ะ ...กะไอ้รู้แค่นี้ เท่าที่ปรากฏตรงนี้ ทุกข์ไม่มีนะ ทุกข์แทบจะหาไม่มีเลยนะ

บ้านก็ไม่มี รถก็ไม่มี ครอบครัวก็ไม่มี งานก็ไม่มี...ตอนนี้นะตอนนี้ ถ้าอยู่ในแวดวงปัจจุบันนี่...ไม่ต้องออกไปไหนนะ ไม่ได้ออกไปในความคิด ไม่ได้ตามความคิดนะ

ถ้ารู้ตัว ไม่อยู่ในความคิด...ไม่มีอะไรนะ เห็นมั้ย พ่อแม่ก็ไม่มี ชื่อเสียงตัวเรายังไม่มีเลย ข้างหน้าข้างหลังก็ไม่มี ...เราจะไปจะมายังไงยังไม่รู้เลย ไม่ต้องมีอะไร เห็นมั้ย

นี่กลับมาอยู่ตรงปัจจุบันบ่อยๆ ถึงจะเห็นความเป็นจริงว่ามันมีอะไร ...มันมีแค่เท่าที่ตาเห็น เท่าที่หูได้ยิน  เท่าที่กายรับรู้อาการเย็นร้อนอ่อนแข็ง แค่นั้นแหละ หยาบๆ

แล้วถ้ารายละเอียดขึ้น...ก็เดี๋ยวก็มีความปรุงความคิด ซึ่งถ้าไม่สนใจมันก็จะดับๆๆ ของมันเอง ...ก็ไม่เห็นมีอะไร พอจะคิดก็เออ รู้ แล้วก็ไม่คิด รู้แล้วก็ไม่คิด

อย่าเสียดาย อย่าไปงม...ว่าเดี๋ยวเราจะไปเปิดประตูรถข้างซ้ายหรือข้างขวาดี ต้องคิดก่อน ...บ้ารึเปล่า อย่างงี้ ต้องเตรียมตัวไว้ก่อน ต้องว่าอย่างงั้นต้องว่าอย่างงี้

อย่าไปอ่อนข้อ ไม่คิดก็เดินได้ ไปได้ ไปถูก ...มันก็ไป...ถึงวาระนั้นก็มีการหยิบ การจับ การฉวย ก็รู้ไปเป็นปัจจุบันๆๆ ไป อยู่อย่างนี้ให้ต่อเนื่องไป เอาแค่อยู่กับปัจจุบันนี่ นะ

อยู่กับอาการปัจจุบัน แค่ตาเห็นหูได้ยิน กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง เอาให้ได้แค่วันนึง...จริงๆ ดิ๊  ฮึ ลองทำจริงๆ ดูซิ  ถ้ายืดได้ก็ ๗ วัน  ลองทำดูเพียงแค่นี้ เอาแค่นี้

ไม่ต้องไปคิด หูย ธรรมะลึกซึ้งซับซ้อนซ่อนเงื่อน ...อยู่แค่นี้  อยู่แค่ปัจจุบันจริงๆ นี่ ตาหูจมูก อะไรเกิดขึ้น จะโกรธจะไม่โกรธ จะกังวลจะไม่กังวล ...ก็รู้ว่ามันปรากฏยังไง รู้ตรงนั้นก็ละมันตรงนั้น


(ต่อแทร็ก 4/32  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น